วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ตัวเลขวันเกิดบอกถึงสไตล์การทำงานของคุณ



ท่านที่เกิดวันที่ 1 สไตล์การทำงาน : คุณมักเป็นเจ้าของความคิดใหม่ ๆ คุณมักนำพรสวรรค์ที่มีอยู่ในตัวเองมาแก้ปัญหาด้วยวิธีที่คนอื่นคาด ไม่ถึงอยู่เสมอ สำหรับคุณแล้วการพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จริง ๆ แล้วมีทางเป็นไป ได้ จะทำให้คุณรู้สึกสนุกสนานและสะใจเป็นอันมาก ในการทำงาน คุณชอบที่จะเป็นผู้กำหนดอนาคต วางแผนทุกอย่างด้วยตนเอง นอกจากนี้เรื่องการแหกกฎก็เป็นเรื่องที่พบเห็นประจำในการทำงานของคุณ
อาชีพที่เหมาะสม : คุณเหมาะสมกับทุกอาชีพที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ประเภทนักประดิษฐ์ ดีไซเนอร์ ครีเอทีฟ หรืออย่างประเภทนักบิน ผู้กำกับฯ ที่ปรึกษาทางธุรกิจ นักขาย ศิลปิน งานใน ตำแหน่งหัวหน้าหรือผู้บริหารระดับสูง

ท่านที่เกิดวันที่ 2 สไตล์การทำงาน : ด้วยความยืดหยุ่นสูง การรู้จักวางตัว ผสมวาทศิลป์อันยอดเยี่ยม ทำให้การงานของคุณดำเนินไปด้วยดี และสำเร็จได้อย่างราบรื่นอยู่เสมอ การทำงานของคุณจะเป็นในลักษณะร่วมมือกับผู้อื่น เรื่องฉายเดี่ยว เป็นสิ่งที่คุณไม่สันทัด
อาชีพที่เหมาะสม : ทูต นักสังคมสงเคราะห์ ที่ปรึกษา เจ้าของร้านหนังสือ พนักงานขายประกัน เจ้าของ ร้านอาหาร เจ้าของโรงมหรสพต่าง ๆ นักกฎหมาย สถาปนิก ผู้รับเหมาก่อสร้าง พยาบาล แพทย์ เป็น อาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 3 สไตล์การทำงาน : คุณชอบทำงานประเภทที่ต้องพบปะผู้คน เหมาะมากกับการทำงานเป็นทีมเวิร์ก คือนอกจากจะต้อง ติดต่อประสานงานกับคนภายในองค์กรแล้ว ภายนอกองค์กรคุณก็สามารถจัดการได้เป็นอย่างดี และ ด้วยความคิดดีๆ ที่คุณจุดประกายได้เสมอ ทำให้ภาพรวมของงานเป็นไปในทางที่ดี ทีมงานก็จะแฮปปี้ มากๆ ที่ได้ร่วมงานกับคุณ
อาชีพที่เหมาะสม : ประชาสัมพันธ์ ฝ่ายดูแลลูกค้า ตัวแทนการขาย ประสานงาน ออร์แกไนเซอร์ เปิด ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย สปา ธุรกิจโรงแรม พนักงานต้อนรับโอเปอเรเตอร์

ท่านที่เกิดวันที่ 4 สไตล์การทำงาน : บางทีเพราะความใจกว้างเกินไป จึงทำให้บางครั้งการร่วมงาน หาหุ้นส่วน หรือการช่วยเหลือผู้อื่นของคุณ ไม่เหมาะสมได้ คือ ทำในสิ่งที่ไม่น่าจะทำหรือทำเกินไป ด้วยเหตุนี้ คำว่า ′ทำบุญคนไม่ขึ้น′เป็นคำที่ โดนใจคุณมาก การทำอะไรให้พึ่งตัวเองเป็นสำคัญ หรือไม่ก็เลือกพึ่งพาเฉพาะเพื่อนหรือคนในครอบ ครัวที่ไว้ใจได้จริง ๆ จะทำให้การงานคุณราบรื่นได้
อาชีพที่เหมาะสม : งานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โปรดิวเซอร์รายการต่าง ๆ ที่ปรึกษาด้านการเงิน ทนาย ความ สถาปนิก ผู้รับเหมา วิศวกร ศิลปินแขนงต่าง ๆ จะเป็นอาชีพที่เหมาะสม
ท่านที่เกิดวันที่ 5 สไตล์การทำงาน : รวด เร็ว ว่องไว เกาะติด และมีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ ทุกครั้งที่คุณได้งาน ใหม่ ๆ คุณจะดีใจและมี ความสุขมาก แต่เมื่อไรได้งานที่ต้องใช้เวลาทำนาน ๆ จะไม่เหมาะกับคุณ เพราะคุณจะพาล เบื่อเอาซะ ก่อน
อาชีพที่เหมาะสม : คุณเป็นคนที่มีความคล่องแคล่วสูงมาก และมีความสามารถในการสื่อสารที่ดี ดังนั้น สายงานที่เหมาะกับคุณ คืองานในวงการโทรทัศน์ หรืองานประชาสัมพันธ์ เช่น นักเขียน นักบรรยาย อาจารย์มหาวิทยาลัย นักการศึกษา นักโฆษณา นักขาย ทหาร ตำรวจ และนักการเมือง
ท่านที่เกิดวันที่ 6 สไตล์การทำงาน : ถ้าสังเกตตัวเองดี ๆ คุณจะพบว่า คุณมักจะมีพรสวรรค์อย่างน้อยหนึ่งอย่างติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตคุณจะ ก้าวหน้ากว่าคนอื่นมาก ถ้าได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ไม่ฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ การทำงานของ คุณจะไปได้อย่างเหนือความคาดหมายของคนอื่นอยู่เสมอ ๆ ถ้าคุณได้ทำในสิ่งที่คุณเต็มใจ รูปแบบการ ทำงานของคุณไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ
อาชีพที่เหมาะสม : สอนหนังสือ ที่ปรึกษาด้านชีวิตหรือความรัก นักบำบัด นักดนตรี ศิลปิน งานที่ต้องใช้ ความคิดสร้างสรรค์ อาชีพเพื่อสังคม งานบริการต่าง ๆ งานที่ต้องใช้อารมณ์และความ สุนทรีภาพสูง ๆ จะเป็นอาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 7 สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนทำอะไรมีหลักการ ใช้ความคิดใคร่ครวญ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบมาก ๆ แล้วจึงทำ คุณจึง ชอบอยู่คนเดียว ทำงานคนเดียว ชอบหน้าที่หรือตำแหน่งที่มีความเป็นส่วนตัวสูง นอกจากนั้นคุณยังชอบ ความสันโดษและการทำสมาธิอีกด้วย เมื่อยามว่างจากงาน
อาชีพที่เหมาะสม : นักบำบัด นักเขียน นักกฎหมาย ช่างถ่ายรูป นักวิจัย นักวิเคราะห์ ครูบาอาจารย์ และ อาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจหรือจิตวิทยา เป็นสิ่งที่เหมาะกับคุณเหลือเกิน

ท่านที่เกิดวันที่ 8 สไตล์การทำงาน : ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่ทำงานได้ดี แต่คุณมักไม่ชอบอยู่ที่หนึ่งนาน ๆ อยู่ได้สักพักก็มักจะย้าย เพื่อไปหา เป้าหมายที่ท้าทายกว่า ยิ่งใหญ่กว่า และด้วยไฟในการทำงานอันร้อนแรงของคุณ คุณจะทำอะไรอย่าง รวดเร็วแบบสายฟ้าแลบ จนบางทีทำให้คนรอบข้างของคุณปรับตัวไม่ทัน รวมทั้งบางทีจังหวะไม่มา ทำ ให้คุณเหนื่อยเปล่าด้วย ดังนั้นไม่ต้องเร่งรีบไปให้ถึงจุดหมายมากเกินไป ให้ดื่มด่ำกับทุกย่างก้าวที่คุณ ได้ก้าวไป จะทำให้คุณมีความสุขและไม่เครียด และยังสามารถรักษา ศักยภาพในการทำงานให้คงอยู่ ได้นาน โดยไม่ต้องเหนื่อยกับงานมากเกินไป
อาชีพที่เหมาะสม : งานทางด้านการเงินการธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ฝ่ายติดต่อ ประสานงานต่าง ๆ นักลงทุนตลาดหลักทรัพย์ ผู้นำทางการเมือง ผู้นำทางศาสนา นักกฎหมาย นักบุญ และธุรกิจบันเทิงทั้งหลาย เป็นอาชีพที่เหมาะกับคุณเหลือเกิน

ท่านที่เกิดวันที่ 9 สไตล์การทำงาน : การประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ของคุณมักไม่ค่อยมาจากการกระทำเท่าใดนัก แต่มักมาจากการที่คุณ มองเห็นอะไรได้ชัดกว่าคนอื่นทั้งในภาพรวมและเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทำให้คุณเหนือกว่าคนอื่นหนึ่ง ก้าวเสมอ อย่างไรก็ตาม ในการแก้ปัญหาเรื่องของการงาน คุณมักจะทำตามที่ใจคุณเรียกร้องเสมอ ไม่ ค่อยฟังคนอื่นเท่าใดนัก ประมาณว่าดื้อเงียบ
อาชีพที่เหมาะสม : นักบำบัด นักวางกลยุทธ์ นักแต่งหนังสือ นักขาย นักบริหาร ครูบาอาจารย์ นัก ปราชญ์ นักเขียน ช่างภาพ ศิลปิน คืออาชีพที่เหมาะกับคุณ

ท่านที่เกิดวันที่ 10 สไตล์การทำงาน : คุณมีความเชื่อมั่น ศรัทธาในตัวเอง คุณทำให้คนรอบข้างอุ่นใจ ถ้าคุณหันมามองรอบตัวคุณจะเห็นความ รู้สึกนึกคิดความต้องการของคนรอบข้าง
อาชีพที่เหมาะสม : ศิลปิน เทรนเนอร์ นักสิ่งแวดล้อม นักวิทยาศาสตร์ นักบิน นักการศึกษา นักสื่อสารมวลชน จะเป็นอาชีพที่เหมาะกับคุณเหลือเกิน

ท่านที่เกิดวันที่ 11 สไตล์การทำงาน : ในการทำงาน คุณทำทุกอย่างในสิ่งที่คุณเชื่อและชอบอยู่เสมอ นั่นจึงทำให้คุณเป็นคนที่สามารถสนุก สนานกับทุกอย่างได้ แม้กระทั่งงานเบา งานหนัก งานยุ่ง ถึงจะมีแอบบ่นในใจลึก ๆ อยู่บ้าง แต่แท้จริง แล้วไม่เคยหวั่น คุณเปรียบประดุจได้กับไดนาโมของความคิดสร้างสรรค์และ จินตนาการ สไตล์การทำ งานของ คุณมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร และคุณจะก้าวหน้ากว่าใคร ก็ด้วยในสิ่งที่เป็นตัวคุณนี่แหละ
อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน นักแสดง ศิลปิน นักปรัชญา ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ นักศาสนา นักธุรกิจ ไฟแรง นักประพันธ์ ที่ปรึกษาทางธุรกิจหรือด้านต่าง ๆ จะเหมาะอย่างยิ่ง

ท่านที่เกิดวันที่ 12 สไตล์การทำงาน : อะไรที่ว่าเป็นเรื่องยากต่อการปฏิบัติ หรือต่อการทำความเข้าใจ คุณสามารถย่อมัน สรุปมันได้ง่ายต่อ การคิดและปฏิบัติเสมอ ถ้าคุณเป็นหัวหน้า คุณก็จะสั่งลูกน้องได้อย่างกระชับ ชัดเจน ใครก็ตามที่ได้ฟัง จะสามารถนำไปทำได้ทันที ถ้าเป็นลูกน้อง คุณก็จะทำให้หัวหน้าประทับใจในการทำงานที่รวดเร็วและ ถูกต้องอยู่เสมอ ๆ
อาชีพที่เหมาะสม : เป็นที่แปลกมากที่ว่า คุณเป็นคนที่ทำอาชีพอะไรก็ได้ ขอให้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่คุณชอบ และต้องเกี่ยวข้องกับการติดต่อกับผู้คนมาก ๆ ไม่ว่าจะทำอะไร คุณก็สำเร็จเด่นกินหน้าใครอย่างแน่นอน

ท่านที่เกิดวันที่ 13 สไตล์การทำงาน : ขอพูดสั้น ๆ แล้วกัน ช้าแต่ชัวร์ มั่นคงและแน่นอน นั่นละใช่เลย สไตล์ของคนที่เกิดวันที่ 13
อาชีพที่เหมาะสม : นักวางแผนทางการเงิน นักสังคมสงเคราะห์ งานก่อสร้าง งานประชาสัมพันธ์ ผู้ กำกับฯ พ่อครัวมือหนึ่ง หมอศัลยกรรม โปรแกรมเมอร์ คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 14 สไตล์การทำงาน : ใครว่าคนเราไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือการเปลี่ยนแปลงนั้นทำยาก โอ๊ย ... สำหรับคุณแล้วการ เปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องง่ายหรือหมูมาก ๆ เพราะคุณเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูงมาก เข้าขั้นปรมาจารย์เลย ทีเดียว ดังนั้นอะไร ๆ ก็ตามที่มาใหม่ คุณมักจะเข้าใจและเรียนรู้ได้เร็วก่อนใครอยู่เสมอ ๆ เรื่อง ของกระแสไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแฟชั่น การเมือง ความรู้ คุณจะสามารถจับกระแสของสิ่งเหล่านั้นได้ ก่อนใคร รวมถึงคุณยังเป็นคนที่สื่อสารหรือพูดชักจูงให้คนอื่นเคลิบเคลิ้มหรือคล้อย ตามได้ดีอีกด้วย ทั้ง หมดนี้ทำให้การทำงานของคุณ เป็นลักษณะเล่นกับกระแส อิงกับกระแส แล้วใช้การต่อรอง แลกผล ประโยชน์อย่างรวดเร็วในการกำชัยชนะอยู่เสมอ ๆ
อาชีพที่เหมาะสม : นักเจรจาต่อรอง นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี นักสังคมวิทยา นักประมูล ผู้จัดการ ฝ่ายขาย โค้ชกีฬา เทรนเนอร์ นักข่าว นักพาณิชยศิลป์เป็นอาชีพที่เหมาะสม
ท่านที่เกิดวันที่ 15 สไตล์การทำงาน : ความเด็ดเดี่ยว ความเชื่อในอุดมคติ ความภาคภูมิใจ สามสิ่งนี้คือจุดแข็งของคุณ คุณจึงมักทำอะไร ทุกอย่างโดยมีเป้าหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ๆ ไม่มีทางเลยที่คุณจะยอมเสียเวลาเปล่า ๆ ไปกับการ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ การทำงานในองค์กรต่าง ๆ คุณจะเป็นคนที่กระหายเรียนรู้เป็นอย่าง มาก เป็นนักดูดซับข้อมูลตัวฉกาจ เรียกได้ว่าอะไร ๆ คุณสามารถรู้ทันเกมได้หมด สร้างศาสตร์ใหม่ ๆ ทฤษฎีใหม่ ๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของคุณเองได้ สิ่งเหล่านี้ดีเลิศจนบางครั้งอาจทำให้คนหมั่นไส้เอา ได้ แต่ช่างมันเถอะ เรื่องธรรมดาของคนมีความสามารถ
อาชีพที่เหมาะสม : ครูอาจารย์ นักวิชาการ นักออกแบบ มัณฑนศิลป์ สถาปนิก บรรณารักษ์ นักวิจัย นัก บำบัด นักเรียกร้องเพื่อสังคม ผู้นำทางสังคมเป็นอาชีพที่เหมาะสม
ท่านที่เกิดวันที่ 16 สไตล์การทำงาน : ทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์ ไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาคุณไปได้ เพราะการทำงานของคุณจะเป็นไปใน ลักษณะพุ่งไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็วที่สุด ความอ้อมค้อมเป็นสิ่งที่คุณไม่ถนัดเป็นอย่างยิ่ง เวลาคุณทำ อะไร คุณจะใช้ความตรงไปตรงมา บวกกับการวางแผนอย่างรัดกุม ทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณคิด เรียกได้ว่าเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว ดังนั้นโลกนี้ยังจะมีอะไรสามารถหลอกลวงคุณได้อีก
อาชีพที่เหมาะสม : นักประพันธ์เอก วิศวกร นักกฎหมาย นักวิจัย นักสืบ อาชีพที่ต้องใช้ประสาทสัมผัส พิเศษ คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 17 สไตล์การทำงาน : ด้วยความสามารถข้างต้น ถามว่าอะไรในการทำงานเป็นสิ่งที่คุณถนัดที่สุด ตอบได้เลยว่าคือเรื่องของ การเมืองในบริษัท ถึงแม้คุณจะไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่ เพราะคุณเป็นคนที่มีความเคารพในตัวเองสูง มาก แต่คุณก็ทำมันได้ดีในระดับที่ไม่ธรรมดา แต่ถ้าไม่ชอบ ไม่เป็นไร งานอีกอย่างของคนที่เกิดวันนี้ถนัด นั่น คือ เป็นนักประสาน ประสานงานทุกอย่างไม่ว่าจะทางด้านความ คิดเห็น หรือเชิงปฏิบัติ คุณทำได้ดีมาก ใครมีความขัดแย้งอะไรขอให้เรียกหาคุณได้เลย
อาชีพที่เหมาะสม : นักแสดงเจ้าบทบาท นักการเมือง ทนาย นักเอนเตอร์เทน นักบริหาร นักการเงิน การธนาคาร ผู้นำทางศาสนา นายหน้า นักเล่นหุ้นมือฉกาจ ที่ปรึกษาด้านสุขภาพหรือความงาม คืออาชีพ ที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 18 สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่ชอบการเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตนเอง มากกว่าการรอใครมาสั่งมาสอน ถึงแม้กระนั้นก็แปลกที่ ว่าคุณก็สามารถรู้สิ่ง ๆ นั้นได้อย่างดีและรวดเร็วเสียด้วย ดังนั้นงานอะไรก็ตามคุณไม่เคยหวั่น เรียกได้ ว่า เป็นนักสู้งานตัวยงเลยทีเดียว นอกจากนี้ไม่ว่าบริษัทหรือการงานของคุณจะประสบปัญหาหรือวิกฤต เป็นเช่นไร ขอให้องค์กรนั้น บริษัทนั้น แต่งตั้งให้คุณเป็นคนที่สามารถจัดการหรือนำผู้คนฟันฝ่าไปจาก วิกฤตจะดีที่สุด เพราะคุณเกิดมาเพื่อเป็นนักจัดการกับวิกฤต หรือจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่ซับซ้อนและ ใหญ่ ๆ ในเหตุการณ์เฉพาะ ๆ เท่านั้น โอ ... น่าดีใจ ยิ่งบ้านเมืองตอนนี้อยู่ในยามยาก คนอย่างคุณเป็นที่ ต้องการมาก
อาชีพที่เหมาะสม : การจัดการ นักกฎหมาย อัยการศาล นักปรัชญา ผู้นำทางความคิดหรือทฤ ษฎีใหม่ ๆ นักเล่าเรื่องหรือปรากฏการณ์ บรรณาธิการ นักสื่อสารมวลชนหัวก้าวหน้า นักกีฬา นักกรีฑา คืออาชีพ ที่เหมาะกับคุณ

ท่านที่เกิดวันที่ 19 สไตล์การทำงาน : ทุกอย่างจะสำเร็จได้ต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจ เพราะคุณเป็นคนที่ชอบให้ความร่วมมือกับคนอื่นได้ ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ใช้ลงทุน ลงแรง ขอให้บอกคุณได้ คุณไม่เคยขัดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ในที่ทำงานหรือชีวิตประจำวันของคุณ มักจะไม่ค่อยมีศัตรูหรือถ้ามีก็น้อยมาก
อาชีพที่เหมาะสม : ผู้กำกับฯ นักดนตรี นักเขียน ที่ปรึกษา ผู้กำกับศิลป์ แดนเซอร์ นักออกแบบท่าเต้น นักเคมี เภสัชกร นักพัฒนาพื้นที่หรือองค์กร คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 20 สไตล์การทำงาน : ถ้าเล่นกีฬา คุณมักจะเป็น แมนออฟเดอะแมทช์ ถ้าเล่นการเมือง คุณมักจะเป็น ส.ส. แบบพลิกล็อกนั้น เป็นเพราะคุณเป็นคนสามารถฉกฉวยโอกาสจากช่องว่างต่าง ๆ ได้ยอดเยี่ยม ฟอร์มในเรื่องต่าง ๆ ของ คุณอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่พอช่วงเขาจะตัดสินกันหรือช่วงจังหวะสั้น ๆ ที่ใช้ตัดสินความเป็นความตาย คุณ มักจะหยิบชั้นปลามันได้เสมอ เป็นวีรบุรุษได้เสมอ น่าเลื่อมใส
อาชีพที่เหมาะสม : งานทุกอย่างที่ต้องทำกันเป็นทีม ที่ปรึกษาสุขภาพ ที่ปรึกษาทางด้านบุคลิกภาพ ครู บาอาจารย์ นักการทูต นักบริหาร นักจิตวิทยาเกลี้ยกล่อมให้โจรกลับใจ คืออาชีพที่เหมาะกับคุณ
ท่านที่เกิดวันที่ 21 สไตล์การทำงาน : ผู้ใหญ่ จะรักคุณมากเป็นพิเศษ คุณมักจะทำงาน หรือเลือกงานที่คุณได้ใช้ความคิด ใช้จินตนาการอย่าง เต็มที่ และที่สำคัญงานทุกชิ้นคุณจะทำมันออกมาจากใจจริง ๆ ดังนั้นไม่ว่างานอะไร หรือแม้กระทั่งงาน ช่าง งานเทคนิค ก็มักจะมีความงดงามเชิงศิลปะเข้าไปสอดแทรกอยู่ตลอด นับเป็นศิลปินด้วยจิต วิญญาณโดยแท้
อาชีพที่เหมาะสม : ทุกอย่างในวงการบันเทิง อย่างเช่น ดารา นักร้อง นางแบบ นักสื่อสารมวลชน นัก สร้างบุคลิก ผู้จัดการดารา วงการโฆษณา นักเขียน นักประชาสัมพันธ์ ไกด์นำเที่ยว หรือทุกอย่างที่เกี่ยว ข้องกับศิลปะ อย่างเช่น นักออกแบบบุคลิก นักวาดรูป นักออกแบบ นักประพันธ์ จะเหมาะกับคุณเหลือ เกิน
ท่านที่เกิดวันที่ 22 สไตล์การทำงาน : เรื่อง หัวเซ็งลี้ ต้องยกให้คุณ ที่ไหนมีกลิ่นของชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จ คุณสามารถรู้ทันได้หมด และฉกฉวยมาได้ก่อนใครเสมอ นั่นไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนโลภนะ แต่หมายถึง คุณไม่อยากเสียเวลา ไปทำในสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ได้สร้างความสำเร็จให้คุณ หรือพูดง่าย ๆ คุณเป็นคนที่กระหายความสำเร็จมาก
อาชีพที่เหมาะสม : สถาปนิก ครูบาอาจารย์ นักบริหาร ที่ปรึกษาทางธุรกิจ ทนายมือหนึ่ง อัยการมือ ยอด นักการเงิน นักกีฬามือเซียน คืออาชีพที่เหมาะสมกิน
ท่านที่เกิดวันที่ 23 สไตล์การทำงาน : อาจจะเป็นเพราะความเมตตาที่คุณมี รวมกับผลบุญที่ได้สร้างสมมา ทำให้คุณมีความสามารถพิเศษ คือ คุณสามารถรู้ได้ว่าคนไหนจะดีกับคุณ คนไหนเป็นคนที่ช่วยเหลือคุณได้ และเป็นที่น่าแปลกว่า เรื่องบริวารของคุณจะมีปัญหาน้อยมากถ้าเทียบกับคนเกิดวันอื่น ๆ
อาชีพที่เหมาะสม : นักสังคมสงเคราะห์ นักอนุรักษ์ธรรมชาติ นักเขียน ศิลปิน นักผลิตรายการโทรทัศน์ นักดนตรี คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 24 สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่ทำทุกอย่างด้วยหัวใจ ฉะนั้นอะไรก็ตาม ถ้าคุณลองได้เชื่อแล้ว คุณทุ่มเทหมดทั้งกำลังกาย และกำลังใจทีเดียว การทำงานของคุณแม้ไม่รวดเร็ว ฉับไว แต่ผลลัพธ์ที่ได้มักมากกว่าที่จุดประสงค์ตั้ง ไว้ทีแรกเสมอ ๆ เรียกได้ว่าทำงานเกินเงินเดือน
อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน ปรมาจารย์ด้านใดด้านหนึ่ง นักดนตรี นักตกแต่งภายใน นักออกแบบ นักประพันธ์ นักสังคมสงเคราะห์ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้นำทางด้านศาสนา คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 25 สไตล์การทำงาน : คนประเภทที่ว่า มีไฟทำงานลุกโชติช่วงตลอดอย่างคุณ ถ้าจะทำงานก็ต้องเป็นงานประเภทเพิ่งจะบุกเบิก เริ่มต้น หรืองานประเภทที่ต้องใช้ความพยายาม ใช้ความสามารถอย่างสูงในการวางแผน หรือคิดค้นอะไรใหม่ ๆ เพราะนอกจากไฟอันร้อนแรงในตัวคุณแล้ว คุณยังเป็นคนที่มากความสามารถ
อาชีพที่เหมาะสม : นักบัญชี นักการเงิน นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักเขียน นักวาดรูป ศิลปิน นัก แสดงล้อเลียนต่าง ๆ คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 26 สไตล์การทำงาน : คนที่เกิดวันนี้มีเซ้นส์พิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือสามารถจับผิดหรือรู้สึกถึงความผิดปกติต่าง ๆ ได้เร็วกว่าคน อื่นเสมอ สามารถรู้ได้ว่าอะไรถูกต้อง หรืออะไรคือเส้นทางที่ควรจะไปได้เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ได้เร็ว สิ่งเหล่านี้คุณจะรู้ได้ก่อนใครเสมอ ๆ ดังนั้นการทำงานของคุณจะเป็นประเภทครบเครื่องและฉายเดี่ยว คุณชอบทำทุกอย่างตั้งแต่วางแผนยันลงมือทำเองหมด ใจค อจะไม่แบ่งงานให้คนอื่นบ้างเลยหรือ!!!
อาชีพที่เหมาะสม : ครูบาอาจารย์ นักเจรจา นักไกล่เกลี่ย นักสืบ นักตกแต่ง นักจัดงานทางการตลาด นักตัดต่อเสียง นักตัดต่อภาพยนตร์ ซาวด์เอนจิเนียร์ คืออาชีพที่เหมาะสม
ท่านที่เกิดวันที่ 27 สไตล์การทำงาน : เรื่องประสบความสำเร็จเป็นเรื่องที่คุ้นเคยและชินชามาก นั่นเป็นเพราะว่าเวลาคุณทำอะไร คุณจะคิด อย่างรอบคอบ คือคิดแล้วคิดอีกจนมั่นใจจึงทำ และเวลาทำเรื่องล้มเลิกเห็นจะไม่มี ฉะนั้นจึงทำให้คุณเป็นคนที่รักงานมาก ๆ เวลาเห็นใครทำอะไรชุ่ย ๆ กับงาน คุณจะอึดอัดใจเป็นอันมาก จริงไหมตัวเอง!!!
อาชีพที่เหมาะสม : นักอบรม นักจัดงานสัมมนา นักบริหาร นักแสดง นักดนตรี ศิลปิน นักวาดรูป วาทยกร คืออาชีพที่เหมาะสม
ท่านที่เกิดวันที่ 28 สไตล์การทำงาน : งานยาก ๆ เป็นของหวานอย่างหนึ่งของคุณ อะไร ๆ ที่คนอื่นว่ายาก ขอให้บอก ความสามารถพิเศษของ คุณคือ การอ่านสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำและถูกต้องลึกซึ้ง
อาชีพที่เหมาะสม : ศิลปิน นักแสดง นักออกแบบเสื้อผ้า งานทุกชนิดที่ต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาพื้นที่ นักพัฒนาองค์กร หรืองานทุกอย่างที่ต ้องการการปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 29 สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่มีความหลากหลายในตัวสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคม ศาสตร์ รัฐศาสตร์โอ๊ย แม้กระทั่งไสยศาสตร์ คุณมักมีความรู้หรือมีประสบการณ์ในเรื่องต่าง ๆ มาแล้ว ทั้งนั้น ประมาณว่าพหูสูตร นอกจากนี้เวลาคุณทำงาน คุณมักจะชอบทำงานทีละหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน จนบางทีทำให้สับสนบ้าง อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของคุณ คือคุณสามารถทำงานที่ต้องใช้ทักษะหลาย ๆ อย่างพร้อมกันได้ดี อย่างเช่น ประเภทพวกคอมพิวเตอร์กราฟิก หรือออกแบบบัญชีบนคอมพิวเตอร์ อะไรทำนองนั้น
อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน คอลัมนิสต์ บรรณาธิการนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ นักแต่งเพลง ลีดเดอร์ นักแสดงบนเวที นักมายากล นักกรีฑา หมอ ศัลยแพทย์ นักการเงิน นักธนาคาร นักสังคมสงเคราะห์ เรียกได้ว่าทำได้แทบทุกอาชีพ

ท่านที่เกิดวันที่ 30 สไตล์การทำงาน : คุณมักจะสามารถทำงานที่ต้องใช้ความอดทน ความเข้าใจคนอื่น ความรู้จักยืดหยุ่นได้ดีเสมอ อย่างไรก็ ตาม ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่มีจิตวิทยาสูง เข้าใจคนอื่นได้ดี แต่คุณมักจะไ ม่ค่อยเข้าใจในชีวิตความต้อง การ ความรู้สึกที่อยู่ลึก ๆ ข้างในตัวคุณเองสักเท่าไหร่ นั่นจึงทำให้ในช่ วงแรก ๆ ของชีวิตคุณมักจะเลือก เรียน หรือทำงานในสิ่งที่ไม่ใช่คุณอยู่เสมอ ๆ
อาชีพที่เหมาะสม : นักเขียน นักแสดง นักตกแต่งสวน นักประชาสัมพันธ์ หมอนวด แอร์โฮสเตส พนักงานต้อนรับ งานทุกอย่างที่ต้องใช้การสื่อสารและงานบริการ คืออาชีพที่เหมาะสม

ท่านที่เกิดวันที่ 31สไตล์การทำงาน : คุณเป็นคนที่ตัดสินใจแล้วต้องทำให้ได้ ใครอย่ามาแย้งฉันนะ ไม่งั้นเดี๋ยวหัวขาด
อาชีพที่เหมาะสม : นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม นักระดมทุน นักกายภาพบำบัด นักกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญ ด้านคอมพิวเตอร์ แฮกเกอร์ นักกวนเมือง นักสื่อสารมวลชน นักข่าว โปรแกรมเมอร์ งานที่ต้องเกี่ยว ข้องกับการบันเทิง เป็นอาชีพที่เหมาะสมต้นไม้มงคลประจำวันเกิด สีประจำวันเกิด

ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รังนก กับ ความโหดร้าย

content1852552141254.jpg564855-topic-ix-0.jpgimages.jpg
ชอบกินรังนกไหม... หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องของอาหารเชิงยาที่เรียกว่ารังนกนางแอ่น
เป็นที่รู้กันดีว่านกนางแอ่นนั้น
เป็นนกเล็กตัวเท่านกกระจอก
มีความน่ารักตรง ที่เมื่อจะวางไข่จะจับคู่สร้างรัง

และมีความน่าอัศจรรย์คือ.........
จะสร้างรัง โดยการถุยน้ำลาย หรือขากเสลดออกมา
ลองนึกภาพว่าถ้าเรา
ต้องถุยน้ำลายและขากเสลดจนเป็นห้องให้เราเข้าไปพักได้มันเหงือกแห้งและเจ็บคอแค่ไหน
แต่แล้วมนุษย์ตัวใหญ่สมองดี
ก็ได้ไปแคะทำลายรังมันออกมาเอามาต้มกิน
กล่าวคือกินคราบน้ำลายเสลดแห้ง ๆ ของนกเพื่อสุขภาพดี
สวย และไม่แก่(ดังโคตรสะนาที่เราเห็นกัน)
แต่จะมีกี่คนที่ทราบว่า
รังที่ดี (เพื่อการกิน) คือรังที่ทำเสร็จใหม่ ๆ

เพราะนกยังไม่เข้าไปออกไข่และกกไข่ ดังนั้นจะสะอาด
ไม่มีเศษขนเศษมูล
และจะมีซักกี่คนที่จะรู้ว่าในหมู่ผู้นิยมกินรังนก
นั่นยังไม่ใช่รังนกที่ดีที่สุด
รังนกที่ดีที่สุดคือรังนกเกรดเลือด รังนกเกรดเลือดจะมีราคาแพงมาก เพราะจะเจือสีแดงของเลือดนก
ถามว่าทำไมและคืออะไร
เรื่องโหดได้เริ่มที่
เมื่อนกพ่อแม่
รู้ว่าตัวแม่กำลังจะวางไข่ นกจะขากถุยออกมาทำรังจนได้รังมา
เรียกว่า
เมื่อเมียท้อง ก็รีบสร้างบ้านเพื่อครอบครัว แต่แล้วก็มีคนมาขโมยรัง มันไปหน้าด้านๆ

นกเหล่านี้ไม่อาจจะไปเรียกร้องตำรวจมาจับขโมยได้
ได้แต่ก้มหน้าขากถุยใหม่ทำรังต่อไป
แต่แล้ว...........ชีวิตเศร้ายิ่งกว่าละครหลังข่าวก็เริ่มขึ้น
เมื่อโดนคนมาขโมยบ้านไปอีก
ทีนี้ ตัวเมียจะเข้าใกล้กำหนดคลอดขึ้นทุกที
สิ่งเดียวที่พวกนกทำคือ
เริ่มต้นถุยน้ำลายสร้างรังใหม่ และมันก็ถูกขโมยรังเมื่อทำเสร็จ

เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนแม่นกต้องออกไข่
เวลานี้ครอบครัวนกต้องเร่งคายเสลดออกมาเพื่อทำรัง ลองนึกแทนว่าถ้าเรา
ต้องขากถุยทั้งวันตลอดสัปดาห์อะไรจะเกิดขึ้น

นั่นคือเหตุที่ทำให้เลือดปนออกมากับน้ำลายจนรังกลายเป็นสีแดง
ครอบครัวนกหวังเพียงว่าจะมีรังให้ไข่ที่กำลังจะเกิดอยู่รอมร่อได้ฟักเป็นตัว
โดยไม่รู้เลยว่านี่คือรังที่ราคาแพงที่สุดที่ต้องโดนเก็บเป็นแน่
เมื่อเสร็จสิ้นทั้งพ่อนกแม่นกจะเสียเลือดมาก
และเมื่อรังที่แลกด้วยเลือดนี้โดนเก็บ

สิ่งที่ตามมาเสมอคือ การที่พ่อแม่นก และไข่ในท้องแม่นก
นอนตายอยู่ที่พื้นถ้ำ
ละครหลังข่าวเรื่องนี้จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้งโดยมนุษย์ที่เป็นตัวเอกหน้าอ่อนกว่าวัย

ส่วนตัวประกอบตายตอนจบ
ลองนึกภาพพ่อแม่ของเราสร้างบ้านให้ครอบครัวขณะที่แม่กำลังท้องแก่จะคลอดเรา
และมีคนมายึดบ้านเรา พ่อแม่เราต้องไปสร้างบ้านใหม่ แล้วโดนยึดอีก ต้องสร้างใหม่อีก

ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนพ่อกับแม่ที่ท้องแก่กระอักเลือด
แล้วสุดท้ายโดนยึดบ้านอีกจนสุดท้ายตายทั้งครอบครัว
ยังหาละครหลังข่าวเรื่องไหนจะโหดร้ายเท่านี้ไม่ได้เลย



************************************

อยู่กับทุกข์ให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์

อยู่กับทุกข์ให้เป็น ก็ไม่เป็นทุกข์
(พระไพศาล วิสาโล)
  
ทุกวันนี้ ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้น ความรู้ และเทคโนโลยีนานาชนิด
ทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้มากมาย 

ร้อนก็เปิดแอร์ อาบน้ำก็ไม่ต้องกลัวหนาว เพราะมีเครื่องทำน้ำอุ่น
ไปไหนมาไหนก็ไม่เหนื่อย เพราะมีรถยนต์ และเครื่องบิน ฯลฯ

แต่ถึงแม้ จะมีความสามารถในการพาตัวให้ไกลจากความทุกข์ได้มากมายเพียงใด
ความจริงอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ มีความทุกข์หลายอย่างที่เราไม่อาจหนีพ้นได้ 

ร่ำรวยเพียงใด ก็ยังต้องเจอกับความพลัดพรากสูญเสีย
ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ต้องพบกับความไม่สมหวัง 
เก่งเพียงใด ก็ต้องประสบกับความล้มเหลว

ที่แน่ ๆ ก็คือ ไม่มีใครหนีพ้นความแก่ชรา  ความเจ็บป่วย และความตาย ไปได้

คนเป็นอันมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับตัวเอง ก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญ
ตีโพยตีพาย หรือวิตกกังวล จนเครียดหนัก หรือถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ

กลายเป็น การเอาความทุกข์มาซ้ำเติมตนเอง ให้หนักกว่าเดิม

แทนที่จะเสียแต่เงิน ใจก็พลอยเสียไปด้วย
แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ใจก็ป่วยด้วย

พูดอีกอย่าง แทนที่จะเจอธนูดอกเดียว กลับเจอถึงสองดอก
ธนูดอกแรกนั้น อาจมาจากคนอื่น หรือสิ่งนอกตัว
แต่ธนูดอกที่สองนั้น เกิดจากน้ำมือของเราเอง

ร้ายกว่านั้นก็คือ ธนูดอกที่สองนั้น มักก่อความทุกข์ที่รุนแรงหนักหนากว่า ธนูดอกแรกเสียอีก

หญิงสูงวัยผู้หนึ่ง ไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคอะไร 
แล้ววันหนึ่ง หมอก็เรียกเธอไปพบ แล้วบอกว่า “ป้าเป็นมะเร็งตับนะ อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน” 

เธอตกใจมาก นับแต่นั้นมาก็เศร้าซึม หมดอาลัยตายอยาก
ไม่พูดไม่คุยกับใคร ผ่านไปได้แค่ ๑๒ วัน เธอก็เสียชีวิต

ก้อนมะเร็งนั้น แม้จะบั่นทอนร่างกายของเธอ แต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับใจที่ตื่นตระหนก และวิตกกังวล
นั่นเป็น เพราะเธอไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น แต่พยายามปฏิเสธต่อต้านตลอดเวลา
ใจที่ดิ้นรนขัดขืนนั้น สามารถตัดรอนชีวิตของเธอได้เร็วยิ่งกว่า ก้อนมะเร็งเสียอีก

จะว่าไปแล้ว ความทุกข์ของคนสมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วเกิดจาก ใจที่ปฏิเสธต่อต้าน ความจริงที่เกิดขึ้น ยิ่งกว่าอะไรอื่น 
ดังนั้น แม้แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รถติด ก็ทำให้ผู้คนขึ้งเครียด หงุดหงิดอย่างหนัก 
ทั้ง ๆ ที่เครียด หรือกังวลเท่าใด ก็ไม่ช่วยให้รถเคลื่อนได้เร็วขึ้น มีแต่จะทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น

อะไรเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เรารู้สึกกับมันอย่างไร
มีสิ่งร้ายเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับ ใจที่ปฏิเสธต่อต้านสิ่งนั้น

พูดอีกอย่าง ยิ่งเราปฏิเสธต่อต้านสิ่งใด ความทุกข์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น เมื่อเจอสิ่งนั้น 

การวิจัยพบว่า คนที่กลัวเข็มฉีดยานั้น เมื่อถูกเข็มแทงจะรู้สึกปวดมากกว่า คนที่วางเฉยต่อเข็มนั้นถึงสามเท่า
คงไม่ผิด หากจะกล่าวว่า ใจที่ปฏิเสธต่อต้านความทุกข์ ย่อมทำให้ความทุกข์นั้น ทบทวี หรือตรีคูณ

ในทางตรงข้าม ทันทีที่เราหยุดต่อต้านขัดขืน ยอมรับเหตุร้ายที่เกิดขึ้น ความทุกข์จะลดลงไปมาก
คนที่ยอมรับความจริงได้ว่า ตนเองเป็นมะเร็ง ไม่ต่อต้านขัดขืน หรือคร่ำครวญ ตีโพยตีพายอีกต่อไป
จะพบว่ามีแต่กายเท่านั้นที่ทุกข์ แต่ใจไม่ทุกข์ด้วย

เป็นธรรมดาของคนเรา เมื่อเจอภัยคุกคาม หรือสิ่งที่ไม่ชอบ ย่อมมีปฏิกิริยาในทางใดทางหนึ่งเสมอ
คือ ถ้าไม่หนี ก็ต่อสู้ แม้ตัวจะหนีไม่พ้น แต่ใจก็ยังดิ้นรนขัดขืน หรือต่อสู้ ซึ่งก็ยิ่งทำให้เป็นทุกข์มากขึ้น

แต่หากเรา มีสติรู้ทันใจที่ดิ้นรนขัดขืน  มันก็จะค่อย ๆ สงบลง
ไม่ว่าการดิ้นรนขัดขืนนั้น จะแสดงออกมาในรูปของความกลัว ความวิตกกังวล ความโกรธแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ
ก็สามารถสงบลงได้ เมื่อมีสติ หรือรู้ตัว

ในทางตรงข้าม การกดข่ม หรือพยายามกำจัดมัน กลับทำให้มันดำรงคงอยู่ต่อไป
แม้ดูเหมือนจะหายไป แต่แท้จริง มันกลับหลบซ่อน และพร้อมจะปรากฏตัวอีก ด้วยอาการที่รุนแรงกว่าเดิม

หากมีอะไรมากระทบ หรือสะกิดใจเรา จะว่าไปก็คงไม่ต่างจาก การเกาให้หายคัน เวลาถูกยุงกัด หรือเป็นลมพิษ
แทนที่ความคันจะหายไป มันกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกาหนักขึ้น กลายเป็นว่ายิ่งเกาก็ยิ่งคัน

การอยู่เฉย ๆ รับรู้ความคันที่เกิดขึ้นกับกาย และรู้ทัน ใจที่ดิ้นรน กระสับกระส่าย กลับช่วยให้ความทุกข์ทุเลาเบาบางลง

การยอมรับความจริง มิได้หมายถึง การยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ที่จริงแล้ว มันกลับช่วยให้ เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ดีขึ้น
 
คนที่ยอมรับความเจ็บป่วยได้ นอกจากใจจะทุกข์น้อยลงแล้ว ยังมีเวลาใคร่ครวญ หาทางเยียวยารักษา
สามารถใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ ไม่ถูกรบกวนด้วยอารมณ์ต่าง ๆ

ผิดกับคนที่ไม่ยอมรับความจริง จะมัวแต่ตีโพยตีพาย คร่ำครวญวิตกกังวล จนไม่เป็นอันทำอะไร
สิ่งที่ควรทำ จึงไม่ได้ทำ ปัญหาที่ควรแก้จึงไม่ได้แก้

ลองถามตัวเองว่า แต่ละวันเราเสียเวลา และพลังงานไปกับการคร่ำครวญ หรือวิตกกังวลมากมายเพียงใด 

บางเรื่องเกิดขึ้นนานแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ป่วยการที่จะนึกถึง
ขณะที่บางเรื่อง ก็ยังไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่เรากลับตีโพยตีพายไปล่วงหน้าแล้ว

แม้แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ก็เถอะ ลองตั้งสติ และมองให้รอบด้าน อาจพบว่า
มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหนักหนาเลย เป็นแต่ไม่ตรงกับความคาดหวังของเราเท่านั้น 

ลองปล่อยวางความคาดหวังนั้น ก็จะพบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
อีกทั้ง อาจมีแง่ดีบางอย่างที่ไม่เคยนึกมาก่อนก็ได้

ที่สำคัญก็คือ อย่ามัวจดจ่อปักใจ อยู่กับสิ่งแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น จนลืมว่า
ชีวิตนี้ ยังมีสิ่งดี ๆ อีกมากมาย ที่รอการชื่นชมจากเรา

ความทุกข์บางอย่าง เราหนีไม่พ้นก็จริง
แต่หากเรียนรู้ ที่จะอยู่กับมันให้เป็น ใจก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการลดความเครียด

จากที่เราได้พอทราบกันมาบ้างแล้วว่า ความเครียดนั้นเป็นศัตรูของผิวพรรณอันดับหนึ่ง การกำจัดความเครียดโดยไม่จำเป็นนั้นเป็นประการหนึ่งที่ช่วยควบคุมการเกิดสิว ได้อย่างมีนัยยะ หากทำการรักษาสิวพร้อมกับออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยสนับสนุนให้เทคนิคการบริหารความเครียดนี้ได้ผลดี มีหลายวิธีที่จะช่วยลดหรือกระจายความเครียด หากประวัติการเกิดสิวของคุณชี้ว่าความเครียดมีผลให้ปัญหาสิวแย่ลง คุณควรระบุให้ชัดเจนว่าความเครียดเรื่องใดที่เป็นเรื่องหลักในชีวิตของคุณ เพื่อที่จะดูว่าความเครียดใดที่ทำให้คุณวนเวียนเครียดแล้วเครียดอีกไม่รู้จบ คำตอบนั้นจะเป็นเบาะแสที่จะช่วยให้รู้ว่าควรเริ่มแก้ปัญหาที่ตรงไหน ยกตัวอย่างเช่น คุณเครียดเรื่องครอบครัว ถามตัวเองดูว่าประเด็นไหนที่ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเกิดความเครียด จากนั้นก็วางแผนที่จะเริ่มแก้ปัญหานั้น
พูดออกมา
อย่าเก็บความกังวลใจและปัญหาไว้ให้มากนัก ลองหาใครซักคนที่มีความสุขุม น่าไว้วางใจ เพื่อพูดคุยถึงปัญหาของคุณ ในบางครั้งคนอื่นก็จะช่วยทำให้คุณมองเห็นปัญหาของคุณได้ชัดเจนขึ้น และก็ช่วยให้มีความคิดแง่มุมใหม่ๆในการแก้ไขปัญหา นอกจากนั้นในทางปฏิบัติแล้ว พบว่าคนอื่นๆนั้นมักจะแบ่งปันปัญหาของเขาที่คล้ายกับของคุณให้คุณฟังด้วย ปัญหาที่คุณคิดนั้นไม่ได้หนักหนาสาหัส หรือเป็นปัญหาอันพิเศษไปมากกว่าคนอื่นๆเท่าไหร่นัก หากปัญหาของคุณนั้นสาหัสเกินกว่าที่จะจัดการเองได้ ลองคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆเป็นพิเศษ เช่น นักจิตวิทยา นักจิตบำบัด หรือผู้ให้คำแนะนำด้านศาสนา บ่อยครั้งพบว่าความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านดังกล่าวมาไม่ได้มีค่า ใช้จ่ายสูงตามที่เราคิดไว้
มีความคิดสร้างสรรค์บ้างเป็นบางครั้ง
บางครั้งบางคราว วิธีที่ดีที่สุดในการเผชิญหน้ากับปัญหาคือการหยุดคิดถึงมันสักครู่ หนีไปสักพักให้พอที่จะคิดทบทวนไตร่ตรอง จากนั้นจึงกลับไปแก้ไขปัญหาอีกครั้งเมื่อจิตใจสงบลงแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนร่วมงานสร้างความรำคาญใจให้กับคุณ แทนที่จะรับมันไว้ (ซึ่งเป็นการลงโทษตัวเอง) หรือทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้น (ซึ่งจะทำให้ปัญหาแย่ลงไปอีก) เดินเล่นซักพัก แม้จะเป็นแค่เดินจากที่โต๊ะไปที่คูลเลอร์น้ำในออฟฟิศ แล้วเดินกลับมา เพื่อเปลี่ยนทิวทัศน์บ้าง หลักสำคัญของเทคนิคนี้คือการกลับมาเพื่อแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่สงบและมี เหตุผล คุณยังสามารถฝึกการหลบเลี่ยงเมื่อเผชิญหน้ากับงานต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าจะมากเกินไปสำหรับคุณได้ แทนที่จะกลับไปเป็นวงเวียนเดิม ให้เบี่ยงตัวเองออกจากตรงนั้นสักพัก การดูหนัง อ่านหนังสือ เดินเล่น หรือการขับรถเล่น จะช่วยให้คืนความสดชื่นให้กับคุณ และทำให้คุณได้มีทัศนคติที่ดีขึ้น พร้อมกลับมาทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันเป็นหลักการเดียวกับการพักร้อน แม้จะเป็นการพักร้อนเพียงห้านาทีก็ตาม ก็สามารถทำให้เราหลบออกจากสถานการณ์ที่ทำให้หงุดหงิด ช่วยทำให้หายใจได้โล่งขึ้น และก็จะส่งผลให้ทัศนคติดีขึ้นพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาของคุณได้ดีขึ้น
ทำทีละอย่าง
ในผู้ที่มีความเครียด แม้จะทำงานปกติทั่วๆไปที่เคยทำได้ แต่พอเกิดความเครียดงานที่เคยทำได้ก็ดูเหมือนจะยากลำบากเสียเหลือเกิน ให้เราแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนโดยเรียงลำดับตามความสำคัญ จากนั้นก็ค่อยๆ ทำทีละอย่าง
จัดลำดับความสำคัญของเวลากับพลังงาน
ทุกคนนั้นจะมีส่วนที่ตัวเองถนัด กับส่วนที่ทำไม่ได้เอาซะเลย จงใช้พลังงานของคุณไปในทางที่คุณทำได้ดีกว่า อยู่ให้ห่างจากส่วนที่ต้องใช้พลังงานของคุณไปกับสิ่งที่คุณไม่สามารถ หรือทำได้ไม่ดี หรือทำแล้วรู้สึกไม่ดี นี่ไม่ใช่วิธีการที่ไม่ดี มันเป็นวิธีการใช้สินทรัพย์ของคุณไปในทางที่ดีที่สุดและใช้เวลาของคุณอย่าง มีประโยชน์สูงสุด อย่าเสียเวลาและพลังงาน $10 ไปกับปัญหา 10 เซนต์ คนหลายพันคนได้คว้าเอาสิ่งที่ไร้ความหมายและไม่น่าเอาจริงเอาจังมาไว้ใน ชีวิต และได้พลาดสิ่งสำคัญของชีวิตไป หลักการง่าย ๆ อันนี้จะช่วยลดความขัดแย้งภายในตัวเราได้
เรียนรู้ที่จะยอมรับว่าอะไรที่เราเปลี่ยนไม่ได้
ความเครียดหลาย ๆ อย่างในชีวิตนั้นอยู่เหนือความควบคุมของเรา จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องหัวเสียต่อเหตุการณ์นั้นๆที่เราไม่สามารถเปลี่ยน แปลงได้ เช่นสภาพอากาศ ภาษี หรือพฤติกรรมต่างๆของคนแปลกหน้า
ให้โอกาสคนอื่นบ้าง
บางครั้งบางคราวเราก็จะพยายามทำให้คนที่เรารักเป็นอย่างที่เราต้องการ หรือเป็นอย่างที่เราจินตนาการ บางครั้งเราก็ไปคาดหวังความสมบูรณ์จากคนแปลกหน้า นี่จะนำไปสู่ความผิดหวังไม่รู้จบ เพราะมันไม่สามารถเป็นอย่างที่เราคิดได้ ให้โอกาสคนอื่นบ้าง ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นคู่สมรส, ผู้ปกครอง, เพื่อนร่วมงาน หรือคนแปลกหน้า ใช้มาตรฐานในการตัดสินคนอื่นให้น้อยลงต่อคนรอบข้าง แล้วคนอื่นๆ ก็จะทำแบบเดียวกันนั้นกับคุณ เมื่อไหร่ที่คุณหยุดทำให้คนอื่นรู้สึกว่าถูกคุณคุกคาม พวกเขาก็จะหยุดมองว่าคุณเป็นคนแบบนั้น หากคุณมองว่าชีวิตเป็นเหมือนเกม ที่คุณต้องเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อที่จะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด คุณจะปวดหัวกับปัญหาต่างๆ พิจารณาดูว่าเป้าหมายคืออะไร หาเวลาพักผ่อนและหาว่าอะไรที่สำคัญกับคุณจริงๆ
ทำงานและเล่นอย่างสมดุล เรียนรู้ที่จะมีความคิดสร้างสรรค์
จัดตารางเวลาสำหรับงานอดิเรกและความคิดสร้างสรรค์เอาไว้ คนที่แอคทีฟบางคนมักจะรู้สึกผิดเมื่อต้องนั่งเฉยๆ และไม่ได้ทำอะไร คุณควรใช้เวลาที่ "ไม่ได้ทำอะไร" มาผ่อนคลายและเติมพลังให้กับตัวเองบ้าง คุณไม่อาจอยู่ได้ในสถานะเดิมๆ เหตุการณ์เดิมๆ และกิจกรรมเดิมๆที่ไม่เปลี่ยนแปลง บางครั้งความคิดสร้างสรรค์ก็เกิดได้ขณะที่เราเล่น จ๊อกกิ้ง เล่นเทนนิส ว่ายน้ำ หรือกิจกรรมทางกายอื่นๆ ได้ระบายอารมณ์ และความคิดออกไป เพื่อผ่อนคลายในวันทำงาน
เรียนรู้เทคนิคก่อนผ่อนคลายแบบง่ายๆ
หากคุณไม่สามารถทำให้ตัวเองผ่อนคลายได้ คุณจำเป็นต้องมีเทคนิคบางประการ บางคนสามารถผ่อนคลายได้จากการคลายกล้ามเนื้อ, เทคนิคการหายใจลึก ๆ, การฝึกโยคะและการฝึกสมาธิ ผู้คนในหลายศาสนาพบความสงบจากการสวดมนต์และการทำสมาธิ สถานที่สอนเทคนิคการคลายความวิตกกังวลนั้นมีอยู่ทั่วไปและหาได้ไม่ยาก
Reference
James E. Fulton Jr., M.D ., Ph.D. หนึ่งในทีมผู้คิดค้น Benzoyl Peroxide
แปลและเรียบเรียงโดย Acnethai.com

ดื่มน้ำถูกวิธี เพื่อสุขภาพที่สมดุล


เรามีชีวิตอยู่ได้ แม้อดอาหารเป็นเดือนๆ แต่ไม่อาจอยู่รอดได้ หากขาดน้ำเกิน 3-7 วัน...ทั้งนี้ เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญภายในร่างกายถึง ร้อยละ 75 ของน้ำหนักตัว
เมื่อใดที่ร่างกายขาดน้ำจะมีสัญญาณสุขภาพบางอย่างเป็นข้อบ่งชี้ อาทิ ผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ตาแห้ง มีกลิ่นปาก ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร เป็นต้น
"น้ำ" จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลในร่างกาย และที่สำคัญคือ น้ำยังสามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์
วิถีสุขฉบับนี้ขอนำเสนอเคล็ดวิธีในการดื่มน้ำอย่างถูกวิธีและถูกเวลา เพื่อช่วยยืดอายุการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้นานขึ้น
ดื่มน้ำถูกวิธีคือ ดื่มแบบกลับคืนสู่ธรรมชาติ
วิธีการง่ายๆ ในการดื่มน้ำให้ถูกวิธีคือ ถ้าดื่มในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าต้องดื่มน้ำอุ่น แต่ถ้าพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้ว ให้ดื่มน้ำเย็น
เนื่องจากน้ำสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ทำให้โอกาสในการเป็นโรคภูมิแพ้ต่ำ สามารถล้างคราบไขมันตามลำคอ และล้างลำไส้ที่มีความยาวถึง 12 เมตรได้ และที่
สำคัญ ยังส่งผลดีต่อระบบการขับถ่ายให้ทำงานเป็นปกติ
14 แก้ว เพื่อสุขภาพดี
มีข้อแนะนำถึงปริมาณน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวันเพื่อบำบัดรักษาโรคและเป็นการรักษาสุขภาพ โดยแบ่งน้ำสำหรับดื่มในแต่ละช่วงเวลา ดังนี้
1. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น 4 แก้ว
2. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
3. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
4. ในเวลา 10.00, 14.00, 16.00 น. ครั้งละ 1 แก้ว
5. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว
เพียงการดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอในแต่ละวัน ก็สามารถช่วยดูแลและลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้ไม่ยาก...วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง?

ขอขอบคุณข้อมูลจาก จดหมายข่าว ต้นคิด เพื่อนคู่คิด มิตรสร้างสุข ประจำเดือน มิถุนายน 2554
ภาพประกอบจาก www.photos.com

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เหตุผลที่ควรยิ้ม ^ ^

เมื่อเปรียบเทียบ การยิ้มกับการแสดงสีหน้าแบบอื่น เช่น โกรธ เศร้า เคร่งขรึม วิตกกังวล ฯลฯ แล้ว จะพบว่าการยิ้มใช้กล้ามเนื้อใบหน้าน้อยกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นมาก การยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และทำให้ใบหน้าดูดีกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นๆ ด้วย
- เพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณได้ทำงาน ซะบ้าง
- ถ้าคุณยิ้มให้เขา มีหรือเขาจะไม่ยิ้มตอบคุณ
- อย่างน้อยคุณจะได้ให้เขาช่วยเตือนว่ามีเศษผักสีเขียวมรกต ยังคง สนุกสนานในปากคุณ
- การยิ้มเป็นการเริ่มต้นแห่งมิตรภาพที่ดีที่สุด
- ถ้าคุณไม่ยอมยิ้ม แล้วใครจะได้เห็นล่ะว่า คุณมีลักยิ้มที่น่ารักที่สุด
- เมื่อคุณทำผิดแล้วโดนจับได้ การแก้ตัวก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่การยิ้มเจื่อนๆ แบบว่า แย่จัง!! คุณจะดูเหมือน พวกที่สำนึกผิด แล้วใครล่ะ จะกล้าโกรธคุณลง
- ยิ้มสวยๆ จะทำให้คนหน้าตาธรรมดาๆ ดูดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ
- การยิ้มในวันที่อ่อนล้าหรือเซ็งสุดๆ ในชีวิต จะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกดีขึ้น
- ถ้าคุณพูดไม่เก่ง ลีลาไม่เด็ด ให้ยิ้มมากๆ เป็นการชดเชย
- รอยยิ้มเป็นสัญญาณบอกใครๆ ว่าคุณพร้อมจะเปิดใจแล้ว
- ยิ้มดีๆ เพียงครั้งเดียวดีกว่าคำพูดนับแสนคำ

ยิ้มเกิดขึ้นได้อย่างไร
รอยยิ้ม เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ 2 มัดใหญ่ คือ ไซโกเมติก เมเจอร์ ( Zygomatic major) ที่จะช่วยดึงมุมปากให้ยกขึ้นไปหาโหนกแก้ม และออร์บิคิวลาริส ออคิวไล (Orbicularis Oculi ) ที่จะช่วยดึงเนื้อแก้มและเบ้าตาให้ยกขึ้น

ยิ้มมีผลต่อร่างกายอย่างไร
จากการศึกษาพบว่า เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นรอยยิ้ม จะส่งผลทำให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง จะทำให้เกิดความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ซึ่งจะตรงข้ามกับการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าจะทำให้สมองมีอุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดความรู้สึกไม่สบาย
นอกจากนี้ ในขณะที่คนเรายิ้ม หัวใจจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ระบบต่างๆ ในร่างกายจะผ่อนคลาย ต่อมหมวกไตจะทำงานน้อยลง ฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลงด้วย การยิ้มจึงช่วยลดความเครียดได้

การยิ้มมีความสัมพันธ์กับความสุขอย่างไร
เป็นที่สงสัยกันมากว่า คนเรามีความสุขแล้วจึงยิ้ม หรือยิ้มก่อนแล้วจึงมีความสุข ทำให้นักวิชาการต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ลงไป และผลที่ได้ก็พบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง นั่นคือ เมื่อคนเรารู้สึกมีความสุข เราจะแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ชอบเก็บกดอารมณ์ของตน เวลามีความสุขก็ยังพยามบังคับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึม ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้ามากกว่า เสียพลังงานมากกว่า และทำให้ไม่สามารถมีความสุขได้อย่างเต็มที่
ในทางตรงข้าม แม้คนเราจะยังไม่รู้สึกมีความสุข แต่เมื่อยิ้มแล้วสักพัก จะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขได้เช่นกัน


ที่มา : กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.photos.com

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

5 เรื่องจริงที่มาพร้อมเฟซบุ๊ค

5 เรื่องจริงที่มาพร้อมเฟซบุ๊ค




1. คือ เจ้านายและลูกน้อง คู่ไม่ควรบนเฟซบุ๊ค
เป็น ผลสำรวจจากอเมริกาที่ว่า เจ้านาย ลูกน้อง ไม่ควรจะมาเจ๊าะแจ๊ะกันบนเฟซบุ๊ค เพราะเพื่อนเฟซบุ๊คสมัยนี้รู้เรื่องของอีกฝ่ายละเอียดยิบราวกับเป็นพยาธิ ใบไม้ในตับก็ไม่ปาน  แต่ถ้าเจ้านายลูกน้องรู้ใส้รู้พุงกันมากเกินไป งานก็อาจจะไม่เป็นงาน เช่น ลูกน้องเอาเรื่องงี่เง่าที่เจ้านายทำมาแบล๊กเมล์ขอขึ้นเงินเดือน เจ้านายขู่จะแฉว่าลูกน้องมีกิ๊ก  หรือทั้งสองฝ่ายสนิทกันมาก ๆ ลูกน้องคนนั้นก็จะกลายเป็นคนโปรด ถึงจะทำงานไม่เอาอ่าว แต่ก็ยังก้าวหน้าพรวด ๆ แซงหน้าคนอื่นที่ขยันแต่ไม่มีคะแนนพิศวาสเป็นแบ๊คอัพไปซะงั้น  เพื่อความยุติธรรม เจ้านายลูกน้องจึงควรจะเจอกันเฉพาะในที่ทำงาน ส่วนในโลกอินเตอร์เน็ตน่ะ เก็บไว้ให้คนที่ไม่มีผลประโยชน์ต่อกันจะดีกว่า

2. เฟซบุ๊ค เป็นเครื่องมือสะบั้นรัก
ตั้ง แต่เฟซบุ๊คแจ้งเกิด ก็มีคู่รักเลิกันนับไม่ถ้วน การขอเลิกซึ่ง ๆ หน้าเป็นซีนระทึกขวัญของหนุ่ม ๆ เพราะมันเสี่ยงกับการถูกอาละวาด ตบตี  แต่การมาของเฟซบุ๊คเป็นโอกาสทองให้คนอยากเลิกสามารถตัดช่องน้อยแต่พอตัว พลิ้วหนีไปได้อย่างรวดเร็ว แค่พิมพ์ตัวหนังสือแล้วส่งไป เท่านั้น ต้นรักก็ถูกถอนโคนเพียงง่าย ๆ ปลายนิ้วสัมผัส

3. แฟนเก่ารีเทิร์น เพราะเฟซบุ๊ค
การ รีเทิร์นในที่นี้ไม่ไ่ด้หมายถึงคู่รักระหว่างรบ แต่ทั้งสองคนยอมกลับมาลมพัดหวนทวนความหลังกันใหม่  แต่มีสถิติยืนยันว่า บรรดาสาว ๆ ช้ำรักทั้งหลาย ชอบใช้นามแฝงดดอเข้าไปตีซี้กับแฟนเก่าผ่านทางเฟซบุ๊ค หรือบางคนก็แค่เข้าไปแอบอ่านว่า ตอนนี้ชีวิตแฟนเก่าไต่ระดับสังคมไปถึงขั้นไหน ถ้าดีก็จะได้ริษยาให้ตาร้อนผ่าว ๆ แต่ถ้าแฟนเก่าเป็นหนี้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ก็จะได้ฮูเรยาสมน้ำหน้ากันให้สะใจไปเลย

4. คนปากร้ายกระจายตัว
ตั้ง แต่มีเฟซบุ๊ค จะเห็นว่า คนปากร้ายกระจายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกนับไม่ถ้วน เพราะการคุยกันแบบไม่เห็นหน้า ทำให้คนบางคนเกิดอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ สามารถปล่อยสัตว์เลื้อยคลานออกมาเพ่นพ่านได้ไม่จำกัดเวลา หนุ่มบางคนตัวเป็น ๆ สุดแสนจะเรียบร้อยยิ่งกว่าผ้าพับไว้ ใครจะนึกว่า พอได้โดดเข้าไปในเฟซบุ๊ค พี่แกจะเปลี่ยนสถานะเป็นเจ้าของฟาร์มสุนัขไปได้หน้าตาเฉย...นี่ล่ะนะที่ เรียกว่า "รู้หน้าไม่รู้ใจ" หาตัวอย่างได้จากเฟซบุ๊คนี่เอง

5. เฟซบุ๊คทำให้เด็กเสี่ยงอันตราย
เป็น ผลพวงมาจากกรณีที่คุณพ่อ คุณแม่เบอร์ห้า (บ้าเห่อ) ส่วนใหญ่ชอบโพสต์รูปถ่ายและประวัติส่วนตัวของลูกแบบละเีอียดยิบลงบนเฟซบุ๊ค เช่น วันนี้ 10 โมง น้องเต้ยไปเรียนบัลเลห์ที่...บ่ายโมงไปเรียนเปียโน มีคุณย่าพาไปส่งค่ะ ฯลฯ หารู้ไม่ว่าการปล่อยข้อมูลแบบนี้ ทำให้คนร้ายสามารถเก็บข้อมูลวางแผนอุ้มหนูน้อยไปได้ง่าย ๆ  หรือหากจะปล้นคุณแม่ ก็แค่มาดูดารางที่คุณแม่อัพเดทไว้ตลอดเวลา แล้วไปดักรอที่สถานที่นั้น ๆ แค่นี้เอง ที่ทำให้ทั้งครอบครัวตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายซะงั้น

ตัวเลขนำโชคของคนทั้ง 12 ราศี

เมื่อพูดถึงเรื่องการทำนายแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องเลขนำโชคในแต่ละราศี แต่ละราศีนั้นมีดวงดาวแต่ละดวงปกป้องคุ้มครองอยู่ และมีสัญลักษณ์นำโชคแตกต่างกันไปถ้านำมาใช้ให้ถูกชะตากับตัวเองแล้วก็จะมี ผลดีอย่างมาก




ราศีเมษ

ราศีเมษ มีดาวอังคารเป็นดาวที่คอยปกปักรักษาอยู่จึงได้รับอิทธิพลจากเทพเจ้าผู้บุกเบิกดาวดวง
นี้ ซึ่งเต็มไปด้วยพละกำลัง ชาวเมษจึงเป็นผู้มีพลังแกร่งกล้าตั้งใจจริงกล้าหาญ และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งอย่างไม่หวาดหวั่น และดูเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 9
ราศีพฤษภ

ดาว ที่ปกปักรักษาราศีนี้อยู่คือดาวศุกร์ โดยเทพวีนัสผู้สดสวยอ่อนหวาน และเต็มไปด้วยความรัก ความงามและความรักอันลึกซึ้งเปี่ยมล้นของเทพวีนัสนี้ส่งผลให้คุณมีรอยยิ้ม ที่น่ารักและจิตใจที่มีเมตตากรุณากับทุกๆคน และมีความรักให้มวลมนุษย์อย่างเหลือเฟือ
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 7
ราศีเมถุน
ดาว พุธเป็นดาวที่คอยดูแลปกป้องราศีนี้อยู่ ส่วนเทพผู้พิทักษ์ราศีนี้ ได้แก่เทพเมอร์คิวรี่ ผู้มีพรสวรรค์และความสามารถในการประพันธ์ เป็นนายช่าง และมีวาทศิลป์ที่เลอเลิศ คุณจึงได้รับอิทธิพลนี้ทำให้คุณเป็นนักพูด นักเขียน และเป็นผู้รอบรู้ชนิดหาตัวจับยาก
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 4
ราศีกรกฎ

ดวง จันทร์เป็นดาวที่คอยปกปักรักษาราศีกรกฎ ส่วนเทพผู้พิทักษ์คือ ไดอาน่า เทพธิดาแห่งการล่าสัตว์และเกษตรกรรม ทั้งยังเป็นแม่ของลูกๆจำนวนมากด้วย คุณจึงได้รับอิทธิพลนี้ตนเป็นคนที่จิตใจกว้างขวาง สุขุมเยือกเย็น และมีสัญชาตญาณของเพศแม่อยู่ถึงแม้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ตาม
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 8
ราศีสิงห์

ดวง อาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่คอยปกปักรักษาราศีสิงห์อยู่ ส่วนเทพผู้พิทักษ์ก็คือ เทพอะพอลโล ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความเข้มแข็งความหนุ่มความสาว และไฟแห่งชีวิต คุณจึงเป็นผู้หยิ่งทะนง ใจกว้าง และเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง ทั้งยังชอบเป็นจุดเด่น จุดสนใจด้วย
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 3
ราศีกันย์

ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีกันย์อยู่คือ ดาวพุธเช่นเดียวกับราศีเมถุน โดยมีเทพเมอร์คิวรี่เป็นเทพเจ้าประจำราศี รวมทั้งนิสัยพื้นฐานของราศีนี้ ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีมารยาทที่งาม สุภาพ เอาจริงเอาจัง พูดเก่ง และเขียนหนังสือได้สวย
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 0
ราศีตุลย์

ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีตุลย์นี้เช่นเดียวกับราศีพฤษภคือ ดาวพุธ เทพวีนัส ซึ่งเป็นเทพธิดาประจำดาวพุธนี้ได้มีอิทธิพลในด้านความงามและความรักต่อชาว ตุลย์ ทำให้ชาวตุลย์เกลียดสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม และยังมีจิตใจเที่ยงธรรม รักษาสมดุลของสิ่งของต่างๆได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 6
ราศีพิจิก

ดาว ที่คอยปกปักรักษาราศีนี้อยู่คือ ดาวพลูโต มีเทพพลูโตเทพแห่งความลี้ลับ และซ่อนเร้นคอยพิทักษ์อยู่ คุณจึงได้รับอิทธิพลเหล่านี้ทำให้เป็นคนพูดน้อยไม่แสดงตัวมักเก็บความเร่า ร้อนไว้ภายใน แต่มีเสน่ห์ดึงดูดอันเร้นลับน่าพิศวง
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 5
ราศีธนู

ดาว ที่คอยปกปักรักษาราศีของคุณอยู่คือ ดาวพฤหัส โดยมีจูปิเตอร์เป็นเทพคอยพิทักษ์อยู่ เทพจูปิเตอร์เป็นเทพแห่งความรอบรู้และพรสวรรค์ทั้งมวล คุณจึงได้รับอิทธิพลให้เป็นคนรักอิสระ ทำอะไรตามใจชอบและมีความสามารถรอบตัวทีเดียว
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 1
ราศีมังกร

ดาว ที่คอยปกปักรักษาราศีมังกรอยู่ก็คือดาวเสาร์ ส่วนเทพผู้คอยพิทักษ์ดูแลคือเทพแห่งกาลเวลา เทพคลอนุส คุณจึงได้รับอิทธิพล ทำให้เป็นคนที่เที่ยงตรงไม่หักโหม มีเหตุมีผล และใช้ชีวิตอย่างถูกต้องคุ้มค่า
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 2
ราศีกุมภ์

คุณ มีดาวยูเรนัสเป็นดาวที่คอยปกปักรักษาอยู่ และมีเทพยูเรนัสเทพเจ้าแห่งความรอบรู้เป็นเทพผู้คอยพิทักษ์ คุณจึงได้รับอิทธิพลดังกล่าวนี้ ทำให้เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชนิดที่ไม่มีใครจะคาดคิดได้ถึงและเป็นผู้มีความคิดแปลกๆใหม่ๆล้ำหน้าอยู่ เสมอ
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 5
ราศีมีน

ดาว ที่คอยปกป้องดูแลราศีมีนคือ ดาวเนปจูน มีเทพผู้พิทักษ์ซึ่งมีอิทธิพลทำให้ชาวมีนเป็นผู้ที่เร้นลับ ในขณะเดียวกันก็ทรงพลังอำนาจ ไวต่อความรู้สึกและรับรู้กระแสจิตวิญญาณได้ดี
ตัวเลขนำโชคคือ เลข 6

เค้าว่ากันว่า...

เค้าว่ากันว่า...
1. เค้าว่ากันว่า ...อ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลา เช่นเดียวกัน เราคงไม่รู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก
2. เค้าว่ากันว่า ...อย่าตัดสินหนังสือดี ๆ แค่ปกมันสวย เช่นเดียวกัน คนหน้าตาดี อาจจะไม่ใช่คนดีเสมอไป
3. เค้าว่ากันว่า ...คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ก็ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกในชีวิตที่ชอบไม่ได้ เช่นเดียวกัน คนที่เราไม่คิดจะอยากรู้จัก อาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดในชีวิตเราก็ได้
4. เค้าว่ากันว่า ...การชอบหนังสือสักเล่ม ไม่ได้หมายความว่า หนังสือเล่มนั้น เนื้อหาดีทุกหน้า เช่นเดียวกัน การรู้สึกดีกับใครสักคน ไม่จำเป็นว่าเขาต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย
5. เค้าว่ากันว่า ...อย่ารู้สึกเสียดายเวลา กับการอ่านหนังสือบางเล่มจนจบ แล้วพบว่าเป็นหนังสือที่ไม่ชอบ เช่นเดียวกัน จงรู้สึกดี กับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่ แม้ว่าวันหนึ่งจะรู้ว่า เขาคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด เพราะอย่างน้อย ต่อจากนี้ไป เราจะได้เลือกทางที่ถูกและคนที่ใช่ซะที
หนังสือ...ความรัก
อย่าตัดสินหนังสือว่าดี แค่ปกสวยๆ...
อย่าบอกว่า...น่ารักเหลือเกินแค่คุยกันหนเดียว
คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ..ใช่ว่าจะมีหนังสือเล่มแรกที่ชอบไม่ได้
คนที่บอกว่าจะไม่แต่งงาน...มักแซงหน้าแจกการ์ดก่อนคนอื่นเสมอ
การชอบหนังสือสักเล่มก็ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนั้นเนื้อหาดีทุกหน้า
การรู้สึกดีกับใครสักคน...ไม่จำเป็นว่าเขาต้องไม่มีข้อเสียอะไรเลย
อย่าเสียดายเวลาถ้าอ่านหนังสือบางเล่มจบแล้วพบว่า... ไม่ใช่แบบที่ชอบ
จงรู้สึกดี..กับการใช้เวลากับใครสักคนหนึ่งอย่างเต็มที่
เพราะอย่างน้อยที่ผ่านมา ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างแน่นอน แม้วันหนึ่งจะรู้ว่าเขาหรือเธอคนนั้นไม่ใช่เลยสักนิด
เพราะอย่างน้อยเราก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
และพร้อมที่จะตามหาคนของเราต่อไป
การอ่านหนังสือสักเล่มต้องใช้เวลาเช่นเดียวกับที่... ..
เราไม่สามารถรู้จักใครสักคนได้ดีตั้งแต่วันแรก

หนังสือมีสิ่งต่างๆหลากหลายให้ศึกษา ทดลองอ่านดูก่อนที่จะตัดสินใจว่าน่าเบื่อ
บางครั้งสิ่งที่เราไม่เห็นประโยชน์และมองผ่านมันไป
วันหนึ่งมันอาจจะมีค่าสำหรับเรา
แล้วในตอนจบก็จะรู้ว่าหนังสือประเภทไหนเหมาะกับเราที่สุด
เหมือนกับความรัก....
ทุกครั้งที่เรามีความรักกับใครสักคนนั้น
แม้ทุกอย่างจะเดินมาถึงจุดจบ แต่คนทั้งคู่ย่อมได้รับอะไรจากสิ่งต่างๆผ่านมาโดย
ไม่รู้ตัว อย่างน้อยที่สุดก็ได้บทเรียนที่มีค่าเพิ่มอีกบทหนึ่ง
บทเรียนที่จะนำไปสร้างความรักครั้งใหม่ให้มีรากฐานที่ดีกว่าที่ผ่านมา
ที่มา : forward mail

3 สิ่งในชีวิตเรา

มีคนเคยเขียนประโยคไว้ประโยคหนึ่งว่า3 สิ่งในชีวิตเราที่เราไม่สามารถเรียกร้องให้กลับมาได้คือคำพูด เวลา และโอกาส มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับใครหลาย ๆคนเพราะว่า..อย่างสิ่งแรกก็คือคำพูด เคยบ้างไหมที่บางครั้งที่เราต้องการที่พูดอะไรสักอย่างที่อยากพูดมากมายแต่ สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราจะพูดก็ไม่ได้พูดขึ้นมา เป็นเพราะอะไรหรือและบางครั้งคำพูดบางสิ่งบางคำเราเองก็ไม่อยากพูดแต่ดันพูด ขึ้นมาเฉย เลย จนบางครั้งยังคิดอยู่เลยว่าเราพูดอะไรที่ทำลายจิตใจคนที่เราพูดด้วยหรือไม่ สิ่งนี้แหละที่เราเองและใครคนอื่นก็ไม่สามารถที่จะย้อนเวลาให้กลับไปแก้ไข อะไรต่อมิอะไรมากมาย จนบางครั้งและหลายครั้งเองคำพูดของเราเองนั่นแหละที่ย้อนกล้บมาทำลายตัวเรา เองในที่สุดเราก็ต้องเจ็บกับคำพูดที่เราได้พูดออกไปโดยไม่ทันได้ระวังและคิด เลยมันจะดีกว่านี้มั้ยถ้าวันนั้น ตอนนั้นเราคิดก่อนที่เราจะพูดอะไรออกไป ถ้าวันนั้นเราทำเช่นนี้เราคงไม่ต้องมานั่งคิดว่าอยากจะย้อนเวลาไปแก้ไขใน สิ่งที่เราได้พูดออกไปอย่าเลยนะที่คิดจะย้อน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราทุกคนก็ไม่สามารถที่จะทำได้ แม้แต่คนที่รวยที่สุดเองก็ตาม อยู่กับสิ่งที่เราได้ทำลงไปทุกวันนี้เถอะนะ
อย่างที่สองก็คือเวลา อย่างที่บอกว่าโลกเรามันช่างโหดร้าย ไม่ยุติธรรม พอเราโทษใครคนไหนไม่ได้แล้ว ก็ย่อมที่จะหาเหตุผลที่จะโทษใครสักคน แล้วสิ่งนั้นก็ไม่พ้นโชคชะตา คนบนฟ้า หรือแม้กระทั่งเวลาที่เราได้เสียไปไม่กี่วินาทีนี่เอง ทำไมเราถึงไม่โทษตัวเราเอง เพราะเราเองมิใช่หรือที่เป็นคนก่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วเราจะไปโทษใครคนอื่นหรือโทษสิ่งที่ไม่มีใครสักคนที่จะเห็นมัน เคยหลายครั้งด้วยที่อยากที่จะย้อนเวลาไปในอดีต เพื่อที่จะแก้ไขในสิ่งที่เราได้ทำลงไป ว่าตอนนั้นไม่น่าจะทำอย่างนั้นออกไปเลย ทำไมล่ะ แล้วตอนที่เราเองได้ตัดสินใจทำไปแล้วทำไมไม่คิดให้ดี ๆ กว่านี้ เอ่อ ใช่ทำไม มันเป็นคำที่เรามักจะพูดกับตัวเราเองอยู่เสมอว่าทำไม แล้วก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลังทุกที ว่าทำไมวันนั้น วันนี้เราถึงไม่ทำเช่นนั้นลงไป แล้วตอนนี้อยากที่จะย้อนเวลาเพื่อที่จะไปแก้ไขมันอีกครั้ง ไม่มีหรอกอีกครั้งสำหรับเราและใครอีกหลาย ๆ คน มันขึ้นอยู่ที่ว่าตัวเราเองนั่นแหละจะยอมรับในสิ่งที่เราทำไปในอดีตมากน้อย เพียงใด ลองคิดว่าถ้าวันนั้นเราไม่ทำเช่นนั้นแล้วเราก็คงไม่มีวันนี้ได้หรอกนะ เพราะว่าอดีตเป็นสิ่งที่สามารถสอนเราได้เสมอจำไว้ ..
โอกาส...หรือ มันเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต้องการ แต่มันขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองนั่นแหละว่าจะสร้างมันขึ้นมาได้หรือเปล่า หากเราทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้ว เราก็คงจะไม่อยากได้โอกาสจากใคร หรือจากตัวเราเอง จงคิดไว้เสมอว่า โอกาสมันเกิดขึ้นและมีไว้ให้สำหรับคนที่พร้อมจะรับมันเท่านั้น แต่คุณย่อมที่จะให้โอกาส ใครที่คุณรักเสมอ เพียงเพราะคำว่า รัก เท่านั้น กลัวว่าวันหนึ่งเขาคนนั้นจะจากคุณไป จึงพูดเสมอว่าฉันให้โอกาสเธออีกครั้ง แล้วมันก็จะมีเช่นนี้ไปตลอดเพราะว่าคุณเคยให้เขาไปแล้ว ครั้งหน้าเขาย่อมที่จะคิดว่าคุณต้องให้อภัย ให้โอกาสเขาอีก จงคิดและปลอบใจตัวเราเองว่า...โอกาสมีไว้ให้สำหรับคนที่เห็นค่าเราเท่านั้น
ที่มา : forward mail

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

10 วิธี เพิ่มความจำแบบฮาร์วาร์ด

วารสารชีพจรสุขภาพ(เฮลธ์บีท)ออนไลน์จากสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ มีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีเพิ่มความจำดีๆ 10 วิธี มาฝาก
(1). เชื่อมั่น: การศึกษาทำในคนวัยกลางคนและสูงอายุพบว่า ความจำของคนเราแปรตามความเชื่อมั่น คนเราจะจำอะไรๆ ได้ดีถ้าเชื่อมั่นว่า "เราทำได้" คนที่มองโลกในแง่ดีและเชื่อว่า ความจำของคนเราไม่ลดน้อยถอยลงไปตามอายุจะมีความจำดีกว่าคนที่คิดว่า "โอ... เราแก่แล้ว จำสู้เด็กๆ ไม่ได้"
(2). ประหยัด: ทุกวันนี้หน่วยงานดีๆ จะมีกิจกรรม "5ส" เพื่อให้หน่วยงานเป็นระเบียบ ข่าวดีคือ การจัดเรื่องต่างๆ ให้เป็นหมวดหมู่ช่วยป้องกันการลืม เครื่องมือป้องกันการลืมที่สำคัญได้แก่ ปฏิทิน แผนที่ สมุดวางแผน แผ่นจดรายการของต้องซื้อก่อนไปชอปปิ้ง สมุดจดที่อยู่-เบอร์โทรศัพท์


(3). แบ่งเป็นชุดเล็กๆ: สมองคนเราจำเรื่องเล็กๆ ได้ดีกว่าเรื่องใหญ่ๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าจะจำตัวเลข 8 หลัก "27984689″ ควรแบ่งเป็น 2 ชุดแบบที่เราใช้จำเบอร์โทรศัพท์ "2798-4789″ เวลาจะจำอะไรก็ควรฝึกจำทีละชุดเล็ก เช่น อ่านหนังสือวันละน้อย ฯลฯ ดีกว่าฝึกจำชุดใหญ่ เช่น อ่านหนังสือรวดเดียวก่อนสอบ ฯลฯ
(4). ใช้ประสาททั้งห้า: ใช้ประสาททั้งตา หู จมูก ลิ้น และกายที่ประทับใจมากที่สุด เพื่อจดจำเรื่องราว ประทับใจอย่างเดียวยังไม่พอ ต้องขอ"เชื่อมโยง" กับประสบการณ์ในอดีตด้วยว่า สัมผัสหรือเรื่องนั้นคล้ายกับอะไรด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าอยากจำรายละเอียดในร้านอาหารให้ ลองสูดหายใจเข้าแรงๆ ได้กลิ่นอะไรให้รีบจำกลิ่น และเชื่อมโยงว่า กลิ่นนี้คล้ายกลิ่นอะไร เช่น คล้ายกลิ่นขนมที่คุณยายทำให้ตอนอายุ 2 ขวบ ฯลฯ

(5). ขยายขอบเขต: การท่องออกเสียงดังๆ วาดภาพประกอบ บันทึก หรือทำภาพไดอะแกรมเชื่อมโยงกระบวนการเข้าด้วยกัน เช่น แผนภูมิก้างปลา ฯลฯ ช่วยให้จำได้ง่ายกว่าการอ่านในใจเพียงอย่างเดียว
(6). เรียกชื่อ: คนเราจะจำชื่อคนได้ดีขึ้นถ้าเรียกชื่อคนที่เราเห็นทุกครั้ง หรือถ้านึกถึงใครในใจก็ให้รีบทบทวนชื่อคนนั้นทันที

(7). เว้นช่วง: คนเราจะจำเรื่องราวต่างๆ ได้ดีถ้าทบทวนซ้ำ (repeat) ในช่วงที่ห่างกัน เช่น 2-3 วัน ฯลฯ หลายๆ ครั้งได้ดีกว่าการท่องรวดเดียว
(8). คำย่อ: คำย่อมีส่วนช่วยให้จำอะไรได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างที่อาจารย์ท่านยกมาเป็นภาษาอังกฤษ เช่น ถ้าจะจำตัวอักษรตัวแรกของคำต่างๆ 5 คำ(E, G, B, D, F) ให้ลองนำอักษรตัวแรกมาแต่งเป็นประโยค เช่น Every good boys does fine. ฯลฯ
(9). ท้าทาย: สมองคนเราเป็นเรื่องที่ต้อง "ท้า(ทาย)" หรือฝึกบ่อยๆ จึงจะใช้การได้ดี การฝึกสมอง เช่น การเล่นคำต่อ (crossword) หมากรุก การฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัดทำงาน ฯลฯ มีส่วนช่วยฝึกสมองให้ตื่นตัว และใช้การได้ดีขึ้นในระยะยาว
(10). นอนให้พอ: คนที่พักผ่อนนอนหลับเพียงพอมักจะจดจำอะไรๆ ได้ดีกว่าคนที่อดนอน ถ้าจะถนอมสมองให้ใช้ได้ดีไปนานๆ ก็ควรนอนให้พอ และอาจเสริมด้วยกิจกรรมฝึกสมาธิ เช่น ไทเกก-ไทชิ(ชี่กง) สมาธิกำหนดลมหายใจ ฯลฯ และออกกำลังเป็นประจำ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : http://www.joinstick.net/

เลือกวันดีๆ เสริมสิริมงคล

ในการเลือกวันแต่ละวันเพื่อการทำสิ่งใดเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ เช่นกันกับตัวคุณ เพราะวันแต่ละวันก็มีความเหมาะสมที่จะทำการต่างๆ แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าวันแต่ละวันเหมาะที่จะทำการใดบ้าง...



วันจันทร์ วันแห่งการเริ่มต้น
หากต้องเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ในชีวิต ควรทำวันนี้ ถือเป็นวันดี ถูกโฉลก มีโชคชัย เหมาะสำหรับ
- เริ่มต้นทำงานวันแรก หรือ เข้ารับตำแหน่งใหม่
- โอนบ้าน/รถ จะอยู่เย็นเป็นสุข
- เดินทางไกลเพื่อแสวงโชคลาภและความสำเร็จ
- สมัครงาน / เรียน / สอบ จะสมหวัง
- สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ สระผม ตัดผม ตัดเล็บ จะมีโชคลาภ

ด้วยพลังของวันจันทร์ จะทำให้คุณพบแต่ความสุขสวัสดีและสิริมงคล แต่ควรเลี่ยงการไปเยี่ยมผู้ป่วย หรือไปงานศพในวันจันทร์
วันอังคาร วันแห่งการต่อสู้แข่งขัน
หากเกิดการปะทะ ทำลาย ใช้ความรุนแรง หรือมีเหตุให้เลือดตกยางออก ถือว่าถูกโฉลก จริงๆ แล้วนับว่าวันอังคารเป็นวันไม่ค่อยดีนัก แต่เราสามารถเลือกทำธุระเหล่านี้ได้
- พบแพทย์ ตรวจรักษา ผ่าตัด จะชนะโรคภัยไข้เจ็บ
- บริจาคโลหิต จะทำให้ชนะศัตรูคู่แข่ง
- ลาออกจากงาน หรือเลิกกิจการ จะสมหวังภายหน้า
- ซ่อมบ้าน ซ่อมรถ ซ่อมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ จะมั่งคั่งดี

ด้วยพลังของวันอังคาร จะช่วยให้คุณแข็งแรง ทั้งกายและใจ แต่วันนี้ไม่ควรสวมเสื้อผ้าใหม่หรือตัดเล็บ ตัดผม
วันพุธ วันแห่งความสมบูรณ์พูนสุข
การทำธุรกรรมใดๆ ในวันนี้มักราบรื่น เรียบร้อย และสมบูรณ์ตามความตั้งใจ วันพุธเป็นวันที่เหมาะสำหรับ
- ทำการซื้อขายบ้าน โอนบ้าน หรือขึ้นบ้านใหม่ จะมั่งคั่ง ร่ำรวย
- ซื้อหรือนำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เข้าบ้าน จะมีโชคลาภ
- ริเริ่มโครงการ งานหรือกิจกรรมใหม่ๆ จะรุ่งเรือง
- สวมเสื้อผ้าใหม่ ตัดเล็บ จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง

ด้วยพลังของวันพุธ จะช่วยให้คุณมีอุดมการณ์ อุดมคติและจุดยืนที่มั่นคงแน่นอนในชีวิต แต่ไม่แนะนำให้ตัดหรือสระผมในวันนี้
วันพฤหัสบดี วันแห่งความเริ่มต้น
วันนี้ทำธุรกรรมใดๆ จะสะดวก ง่ายดายและประสบผลสำเร็จตามความ มุ่งมั่นปรารถนาเหมาะอย่างยิ่งกับ
- การเข้าพบผู้อาวุโสเพื่อขอความช่วยเหลือ จะสมหวัง
- ทำ contact ต่างๆ จะมั่งคั่งร่ำรวย
- เริ่มงานวันแรก หรือเข้ารับตำแหน่งใหม่ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน
- โอนบ้าน หรือขึ้นบ้านใหม่ จะอยู่เย็นเป็นสุข
- สวมเสื้อผ้าใหม่ ตัด-สระผม จะอายุยืน สุขภาพดี

ด้วยพลังของวันพฤหัสบดี ช่วยให้คุณมีสติ ความคิดและความกล้า ทว่าไม่ควรไปเยี่ยมผู้ป่วยหรือไปงานศพในวันนี้
วันศุกร์ วันแห่งความสุข
คำพ้องเสียงของวันนี้ ทำให้การทำกิจการงานมักจะราบรื่น เปี่ยมไปด้วยความสุข สวยงาม วันศุกร์จึงเหมาะมากสำหรับ
- การขึ้นบ้านใหม่ จะมีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง
- รับตำแหน่งใหม่หรือเริ่มงานวันแรก จะมีหน้ามีตา มีชื่อเสียง
- เดินทางไกลเพื่อแสวงหาโชคลาภและความสำเร็จ
- สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ตัด/สระผม ตัดเล็บ จะอยู่ดี มีสุข

ด้วยพลังของวันศุกร์ จะทำให้คุณพบแต่ความสุข สนุกสนาน เพราะฉะนั้นจงเลี่ยงการไปเกี่ยวข้องกับเรื่องโศกเศร้าทุกประเภท
วันเสาร์ วันแห่งชัยชนะ
วันแห่งชัยชนะมีความหมายอีกนัยว่า วันแห่งการสิ้นสุดจึงถือว่าเป็นวันไม่สู้ดี ไม่เหมาะทำการมงคล แต่เหมาะกับการยุติเรื่องราวการเจรจาต่อรอง ให้ลงเอยอย่างมีความสุข จึงควรเลือกทำสิ่งเหล่านี้
- พบแพทย์ ตรวจรักษา ผ่าตัด จะได้ชนะโรคภัย
- ทวงหนี้จะสมหวังดังใจ
- ขายบ้าน / รถ / ทอง หรือ ทรัพย์วินมีค่า จะมั่งคั่ง ร่ำรวย
- ปิดกิจการ
- ตัด/สระผม จะอยู่เย็นเป็นสุข

ด้วยพลังของวันเสาร์ จะช่วยให้คุณโชคดี มีชัยชนะ และเพื่อเป็นสิริมงคล ไม่ควรย้ายบ้าน / ขึ้นบ้านใหม่ สวมเสื้อผ้าใหม่และตัดเล็บ
วันอาทิตย์ วันแห่งความเติบโต
การทำธุรกรรมใดๆ วันนี้จะทำให้เติบโต งอกงาม จึงเหมาะสำหรับ
- เปิดกิจการ ขยายกิจการ ขึ้นบ้านใหม่ จะร่ำรวย รุ่งโรจน์
- ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ จะอยู่เย็นเป็นสุข
- เลี้ยงฉลองความสำเร็จให้ตนเอง หรือผู้ที่นับถือ พี่น้องลูกหลาน จะทำให้มีชื่อเสียงโด่งดัง
- ทำกุศลทาน จะมีอำนาจ วาสนา บารมี
- สวมเสื้อผ้าใหม่ ตัด-สระผม จะอายุยืน ร่างกายแข็งแรง

ด้วยพลังของวันอาทิตย์ จะส่งให้คุณพบแสงสว่างแห่งชีวิต แต่ควรเลี่ยงการพบแพทย์ เข้าโรงพยาบาลและการผ่าตัด

ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิธีจัดการกับอารมณ์เหนื่อยเพลีย


วิธีจัดการกับอารมณ์เหนื่อยเพลีย



มีบ้างไหมที่คุณรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจเสียเต็มประดา จนไม่อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรทั้งวัน อยากนอนอยู่กับที่เฉยๆ เผื่อจะหายเหนื่อยขึ้นมาบ้าง เหนื่อยแบบนี้ไม่เหมือนกับความเหนื่อยที่เกิดขึ้นหลังวิ่งหรือออกกำลังกายมา ใหม่ๆ นะค่ะ แต่หมายถึงอารมณ์เพลียละเหี่ยใจ พาลไม่มีแรงทำอะไรสักอย่าง พอถึงวันหยุดก็จมอยู่กับที่นอนทั้งวัน จนเหมือนคนขี้เกียจ แถมให้คิดอะไรก็คิดไม่ค่อยจะออกเสียด้วย กลายเป็นคนความคิดช้า ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนที่เคยเป็น


  

    เชื่อไหมว่าในโลกนี้มีคนที่กำลังมีอาการแบบนี้อยู่อีกเป็นล้านๆ คน จนแทบเหมือนเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาหรอกนะค่ะ เพราะลองคิดว่าถ้ามีคนมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลียละเหี่ยใจตลอดเวลาแบบนี้เยอะขนาดนั้น แล้วองค์กรหรืองานที่คนเหล่านี้ทำอยู่จะเคลื่อนตัวไปได้ช้าเพียงใด ยิ่งหากมองภาพรวมในระดับประเทศชาติยิ่งแล้วใหญ่ การพัฒนาศักยภาพแขนงต่างๆ อะไรต่อมิอะไรคงเป็นไปได้ช้าพิลึก!






ในทางการ แพทย์มองว่าอาการอ่อนเพลียของคนเราที่เกิดขึ้นเสมอๆ นี้ ถือเป็นความผิดปกติของร่างกายที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา สาเหตุของความเหนื่อยอ่อนแบบนี้คงจะตอบได้ยากว่าเกิดจากอะไรแน่ เพราะแต่ละคนล้วนมีปัจจัยแวดล้อมแตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วมักจะมีเหตุมาจากความเจ็บป่วยไม่สบาย การอดนอน ความเครียด คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การทำงานมากเกินไป การรับประทานยาประจำตัว หรือไม่ก็อารมณ์ที่กำลังซึมเศร้าจากแรงกดดันรอบๆ ตัว ยิ่งอยู่ในสภาพสังคมเมืองใหญ่ที่เรามักจะใช้พลังร่างกายกันเกินพิกัด เวลาควรนอนไม่ได้นอน เวลาควรกินไม่ได้กิน เพราะทำงานเกินเวลา หรือเป็นพวกนิยมการปาร์ตี้สังสรรค์ดึกดื่นข้ามวันข้ามคืน พอตื่นเช้าขึ้นมาเลยลุกไม่ไหว เรียกว่าปาร์ตี้กันเพลินเกินเวลาพาให้งานการเสียก็มีอยู่ไม่น้อย พอได้สติขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรเสียแล้ว
อาการเหนื่อยๆ เพลียๆ นี้อาจรักษาได้ด้วยยาบางอย่าง อย่างเช่น ยาระงับประสาท หรือยานอนหลับ กินให้คลายเครียดนอนหลับสนิท ตื่นมาจะได้มีเรี่ยวแรง แต่ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ก็อย่างที่พอรู้ๆ กันอยู่ ถ้ากินติดต่อกันเป็นเวลานานจะมีผลเสียต่อสุขภาพจิตประสาทแน่ๆ ทางที่ดีกว่า คือการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตเสียใหม่ น่าจะให้ผลที่ดีในระยะยาวกับตัวคุณมากกว่า ลองพิจารณา 8 วิธีที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ แล้วนำไปปฏิบัติตามดู คุณอาจจะหยุดความอ่อนเพลียละเหี่ยใจกลับมาเป็นคนใหม่ได้ในเวลาไม่ช้าค่ะ


         1.ไปตรวจสุขภาพ ลองนึกๆ ดูว่าที่คุณรู้สึกเหนื่อยๆ นั้นเป็นเพราะเกิดมาจากอาการไม่สบายเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า เพราะอาการอย่างเช่น เบื่ออาหาร มึนงง หัวหมุนติ้ว ปวดเมื่อยเนื้อตัว งงๆ ลอยๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ หรือซึมเศร้า บางทีอาจมาจากโรคที่ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ หรือบางครั้งยาที่เราจำเป็นต้องกินเข้าไปก็มีผลข้างเคียงทำให้ร่างกายเรา อ่อนเพลียได้ เช่นยาประเภทที่มีผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ยาแก้แพ้ หรือยารักษาอาการติดเชื้อบางประเภท ยารักษาโรคเรื้อรังบางอย่าง ยาระงับประสาทบางตัว อาจทำให้คนที่กินง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งคุณควรจะขอคำแนะนำจากคุณหมอเพิ่มเติมในเรื่องนี้ดูว่ามีวิธีไหนที่จะ หลีกเลี่ยงได้บ้าง
         2. ให้ความสำคัญกับการนอนหลับเพิ่มขึ้น ในวันหนึ่งๆ คุณควรจะนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากคุณนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอเป็นประจำ ลองนึกดูว่าอะไรเป็นอุปสรรคต่อการนอนของคุณบ้าง เช่น ชอบเปิดไฟนอน ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือก่อนนอนเป็นนิสัย การทำแบบนี้มักจะเป็นการรบกวนการนอนของคุณโดยไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรยกกิจกรรมเหล่านี้ไปทำที่อื่น แล้วก่อนนอนควรทำอะไรที่จะทำให้จิตใจคุณสงบนิ่ง สบาย เช่น อาบน้ำให้สะอาด หรือทำสมาธิสวดมนต์ ไหว้พระ เป็นต้น แล้วเมื่อถึงเวลานอนให้ตรงเข้ามาในห้องนอนเพื่อนอนเพียงอย่างเดียว อ้อ...ควรงดการดื่มกาแฟ หรือแอลกอฮอล์ก่อนเข้านอนด้วยค่ะ
         3. กินอาหารให้เพียงพอกับธรรมชาติของร่างกายต้องการ นอกจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันในปริมาณที่สมดุลแล้ว ยังจำเป็นต้องกินอาหารที่มีวิตามิน และเกลือแร่ที่เพียงพอด้วย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายมีกำลังวังชา ไม่กินมากไปจนทำให้อ้วนเดินไม่ไหว หรือกินน้อยไปจนกลายเป็นคนผอมแห้งแรงน้อย เลือกกินให้พอดีๆ ทั้งข้าว แป้ง เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ ก็จะช่วยคุณไม่ให้ไปเสียเงินเพิ่มกับค่าอาหารเสริมต่างๆ ทำให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นด้วย
         4. ดื่มน้ำเปล่ามากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้วขึ้นไป หลายๆ คนพอจะรู้อยู่ว่าการดื่มน้ำเปล่ามากๆ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพดี ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น แต่คุณบางคนอาจยังไม่เคยทราบว่าการดื่มน้ำก็ให้พลังงานกับร่างกายได้ด้วย เหมือนกัน เพราะเวลาที่ร่างกายไม่ได้รับน้ำเพียงพอ โดยธรรมชาติจะพยายามปรับตัวทำงานให้หนักขึ้นเพื่อให้ได้น้ำมาใช้ในกระบวนการ เผาผลาญอาหารให้กลายเป็นพลังงาน คล้ายๆ กับรถที่ขาดน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ในเวลาที่คุณต้องออกแรงหรือใช้ความคิดมากๆ จนรู้สึกหมดเรี่ยวแรง การได้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำผักคั้นสดๆ สัก 1-2 แก้วจะช่วยทำให้คุณรู้สึกแช่มชื่นขึ้นได้อย่างเห็นผล เพราะทั้งน้ำตาลธรรมชาติและวิตามินในน้ำผัก/ผลไม้จะเข้าไปทดแทนส่วนที่ถูก ใช้ไปได้เป็นอย่างดี และหากเป็นไปได้ควรพยายามหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนจะดีกว่า
         5. กินอาหารแต่ละมื้อให้อิ่มพอดี หรือแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ ปริมาณน้อยแต่เพิ่มจำนวนมื้อ คุณลองสังเกตดูเวลาเรากินอาหารเข้าไปเยอะๆ จนอิ่มแปล้นั้น มักจะตามมาด้วยอาการง่วงเหงาเงื่องหงอย ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาเสมอค่ะ นั่นเพราะร่างกายใช้พลังงานอย่างสูงไปในการย่อยอาหารจนหมด ดังนั้นการกินอาหารมื้อละน้อยๆ จะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานแต่พอดีๆ แต่ยังช่วยให้ระบบการย่อยของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าด้วย แถมจะช่วยให้การเผาผลาญอาหารทำได้เต็มที่กว่าเดิมด้วย
         6. หายใจลึกๆ ใช้สมาธิจดจ่อกับลมหายใจเข้า-ออก สักติดต่อสักประมาณ 2 นาที จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจากอารมณ์เหน็ดเหนื่อย วิตกกังวล เศร้าใจ เสียใจ หรือโกรธ ต่างๆ ได้มาก ซึ่งมีผลให้จิตใจของคุณสงบ สบายขึ้น คุณอาจตั้งสติจดจ่อกับการหายใจแบบนี้ในเวลาที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ อยู่คนเดียว เช่น ตอนที่รถติดๆ บนถนน ขณะเดินเล่น หรือแม้กระทั่งเวลาซักผ้า ล้างจาน จะช่วยให้จิตใจของคุณมีสมาธิดีขึ้นได้
         7. ออกกำลังกายให้มากขึ้น และทำอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายสร้างสารเอ็นดอร์ฟินขึ้นมาในสมองโดย อัตโนมัติ ซึ่งสารนี้จะเป็นสารที่ให้ความรู้สึกเป็นสุข ช่วยคลายความเหนื่อยล้าอ่อนเพลียได้ชะงัด และยังช่วยให้กล้ามเนื้อใช้พลังงานที่ร่างกายเผาผลาญมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ขนาดที่เหมาะคือออกกำลังกายหนักปานกลางวันละ 30 นาทีอย่างน้อยๆ 4 ครั้งต่อสัปดาห์ หากคุณเป็นคนหนี่งที่นานๆ จะมีโอกาสออกกำลังกายสักที ควรตั้งต้นเสียใหม่ยังไม่สายเกินไปด้วยการเริ่มต้นออกกำลังจากทีละน้อยๆ ช้าๆ ก่อน เช่น การเดินรอบๆ บ้าน แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทาง ความหนักทีละนิดๆ เช่น เปลี่ยนเป็นวิ่งระยะใกล้ๆ แล้วค่อยเพิ่มระยะทางยาวขึ้น เลือกการออกกำลังกายแบบใดก็ได้ที่ไม่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยจนทนไม่ไหวเสีย ก่อน เมื่อคุณได้ใช้พลังงานไปกับการออกกำลังกายแล้วจะช่วยให้คุณนอนหลับได้สนิท ความรู้สึกนึกคิดก็จะแจ่มใสกว่าเดิม
                                                               

       
8.อยู่กับปัจจุบันให้ได้ เคยมีคนกล่าวไว้ว่า หากแบ่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตเป็น 100 ส่วน ประมาณ 35 ส่วนจะถูกใช้ไปกับการคิดถึงอดีต 35 ส่วนจะใช้กับการคิดถึงอนาคต ที่เหลืออีกเพียง 30 ส่วนจึงจะใช้คิดถึงเรื่องปัจจุบัน ฟังแล้วคงเห็นภาพว่าทำไมเราถึงรู้สึกเหนื่อยกับเรื่องบางเรื่องที่มันผ่านไป แล้วและเราไม่สามารถแก้ไขได้ หรือเหนื่อยกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึงเสียเหลือเกิน ดังนั้นทางออกก็คือ การอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด เพราะปัจจุบันเท่านั้นที่คุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้นได้ การจดจ่อกับปัจจุบันกาลจะทำให้คุณมีสติรับรู้อันเต็มเปี่ยมทุกขณะจิต มองโลก มองสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ ตามความเป็นจริง และจะช่วยให้คุณตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้อย่างดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นมาก เลือกทำในสิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำ รู้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง ไม่ลนลาน หรือร้อนรน ทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนรอบข้างได้
อ่านจนครบ 8 วิธีแล้ว หวังว่าใครที่มักจะรู้สึกเพลียใจอยู่จนเป็นกิจวัตรน่าจะปรับตัวได้ดีขึ้นนะ ค่ะ แถมท้ายอีกหน่อยด้วยวิธีแก้เครียด วิตกกังวล และกลัว ซึ่งมีที่มาเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุณประสบพบเจอ ปัญหาชีวิต ปัญหาเศรษฐกิจ ความคิด ความทรงจำ หรือแม้แต่ความผิดหวังจากที่คาดหวังเอาไว้ ทั้งหมดนี้ล้วนก่อความเครียดให้คุณได้ไม่มากก็น้อย นำมาซึ่งอาการข้างเคียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปวดหัว ปวดคอ ปวดตึงที่กล้ามเนื้อไหล่ เหงื่อออกมาก ใจเต้นแรง เป็นต้น วิธีทำใจให้คลายเครียดที่เราอยากแนะไว้ตรงนี้ โดยการ กินอาหารให้ถูกส่วน พร้อมกับ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ อย่างที่พูดถึงไปแล้วข้างต้น

อย่าเก็บปัญหาที่คุณกำลังเครียดอัดอั้นไว้กับตัว ลองปลดปล่อยมันออกมาด้วยการเล่าให้เพื่อนสนิทที่คุณไว้ใจได้สักคนฟัง ปรึกษาเพื่อนถึงปัญหาที่คุณเผชิญอยู่ การปลดปล่อยจะทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น แล้วสติปัญญาแจ่มใสคิดแก้ไขสถานการณ์ก็จะเกิดตามมาไม่เชื่อลองดู
ผ่อนคลายจิตใจ ด้วยการหัวเราะเสียบ้าง การอยู่ท่ามกลางคนอารมณ์ดีจะช่วยคุณได้มากในเรื่องนี้ จะทำให้คุณคลายความเครียดได้ชะงัด ความคิดจะกลับมาแจ่มใส พร้อมหันหน้าสู้ปัญหาอย่างมีสติ
ให้เวลากับกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่คุณชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำงานบ้าน ฯลฯ จะเป็นวิธีผ่อนคลายความเครียดที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ทั้งยังให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับเรื่องอื่นๆ ที่นอกเหนือจากปัญหาเดิมๆ เหล่านั้นด้วย เผลอๆ จะช่วยคุณมีทางออกให้กับปัญหาแบบไม่รู้ตัว
ที่สำคัญที่สุดอย่างที่กล่าวไปแล้วคือ การอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด ค่ะ
ข้อมูลจาก : http://www.kpmax.com/molwebboard/blog/blog.php?module=detail_post&blog_id=2578&blog_name=cop.ubonrat&user_blog_id=89
ที่มา :นิตยสาร Health Today

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ความสุข ๕ ขั้น

ขั้นที่ ๑ คือ ความสุขจากการเสพวัตถุ หรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรา ข้อนี้เป็นความสุขสามัญที่ทุกคนในโลกปรารถนากันมาก
ความสุขประเภทนี้ขึ้นต่อสิ่งภายนอก เพราะว่าเป็นวัตถุ หรืออามิสภายนอก เมื่อเป็นสิ่งภายนอก อยู่นอกตัว ก็ต้องหา ต้องเอา เพราะฉะนั้นสภาพจิตของคนที่หาความสุขประเภทนี้จึงเต็มไปด้วยความคิดที่จะได้ จะเอา แล้วก็ต้องหา และดิ้นรนทะยานไป เมื่อได้มาก ก็มีความสุขมาก แล้วก็เพลิดเพลินไปกับความสุขเหล่านั้น พอได้มาก ๆ เข้า ต่อมาก็นึกว่าตัวเองเก่งมาก ๆ ไป ๆ มา ๆ โดยไม่รู้ตัวก็มีภาวะอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือ ชีวิตและความสุขของตัวเองต้องไปขึ้นกับวัตถุเหล่านั้น อยู่ลำพังง่าย ๆ อย่างเก่า ไม่สุขเสียแล้ว ตอนที่เกิดมาใหม่ ๆ นี้ ไม่ต้องมีอะไรมากก็พอจะมีความสุขได้ ต่อมามีวัตถุมาก เสพมาก ทีนี้ขาดวัตถุเหล่านั้นไม่ได้เสียแล้ว กลายเป็นว่าสูญเสียอิสรภาพ ชีวิตและความสุขต้องไปขึ้นกับวัตถุภายนอก แต่เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก่ง อันนี้เป็นข้อสำคัญที่คนเราหลงลืมไป ทางธรรมจึงเตือนไว้เสมอว่าเรา อย่าสูญเสียอิสรภาพนี้ไป พร้อมทั้งอย่าสูญเสียความสามารถที่จะเป็นสุข
สิ่งที่คนเราจะพัฒนากันมากก็คือ การพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพมาบำเรอความสุข แม้แต่การศึกษา ทำไปทำมาก็ไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นการพัฒนาความสามารถที่จะหาสิ่งเสพบำเรอความ สุข แต่อีกด้านหนึ่งของชีวิตที่ลืมไปคือการพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ถ้าเราไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข หรือแม้แต่ไม่รักษามันไว้เราก็สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข
อาการของคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข ก็คือยิ่งอยู่ในโลกนานไปก็ยิ่งกลายเป็นคนที่สุขยากขึ้น คนจำนวนมากสมัยนี้มีลักษณะอย่างนี้ คืออยู่ในโลกนานไป เติบโตขึ้น กลายเป็นคนที่สุขได้ยากขึ้น ต่างจากคนที่รักษาดุลยภาพของชีวิตไว้ได้ โดยพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขควบคู่ไปด้วย จะเป็นคนที่มีมีลักษณะตรงข้าม คือยิ่งอยู่ในโลกนานไป ก็ยิ่งเป็นคนที่สุขได้ง่ายขึ้น
ส่วนคนที่สูญเสียความสามารถที่จะมีความสุข แม้จะหาสิ่งเสพบำเรอความสุขได้มาก แต่ความสุขก็ที่เดิมเรื่อยไป เพราะข้างนอกได้มา ๑ แต่ข้างในก็ลดลงไป ๑ เลยเหลือ ๐ ที่เดิม กระบวนการวิ่งหาความสุขจึงดำเนินไปไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความสุขวิ่งหนีเราไปเรื่อย ๆ
เพราะฉะนั้น จะต้องพัฒนาความสามารถที่จะมีความสุขไว้ด้วยคู่กัน เป็นคนที่สุขได้ง่ายก็เป็นอันว่าสบาย อย่างน้อยก็ฝึกตัวเองไว้ อย่าให้ความสุขต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
ศีล ๘ เป็นตัวอย่างของวิธีฝึกไม่ให้เราสูญเสียอิสรภาพ โดยไม่เอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุมากเกินไป แปดวันก็รักษาศีล ๘ ครั้งหนึ่ง ลองหัดดูซิว่าให้ความสุขของเราไม่ต้องขึ้นกับการบำรุงบำเรอทางกายด้วยวัตถุ เริ่มด้วยข้อวิกาลโภชนาฯ ไม่ต้องบำเรอลิ้นด้วยอาหารอร่อยอยู่เรื่อย ไม่คอยตามใจลิ้น กินแค่เที่ยง เพียงที่ที่ร่างกายต้องการเพื่อให้มีสุขภาพดี แข็งแรง ตลอดจนข้อ อุจจาสยนะฯ ไม่บำเรอตัวด้วยการนอน ไม่ต้องนอนบนฟูก ลองนอนง่าย ๆ บนพื้น บนเสื่อธรรมดา ลองไม่ดูการบันเทิงซิ ทุก ๘ วัน เอาครั้งเดียว จะเป็นการรักษาอิสรภาพของชีวิตไว้ และฝึกให้เรามีชีวิตอยู่ดีได้โดยไม่ต้องขึ้นกับวัตถุมากเกินไป
พอฝึกได้แล้วต่อมาเราจะพูดถึง วัตถุหรือสิ่งบำรุงความสุขเหล่านั้นว่า "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" ต่างจากคนที่ไม่พัฒนาความสามารถที่จะมีความสุข ซึ่งจะเอาความสุขไปขึ้นต่อวัตถุ ถ้าไม่มีวัตถุเหล่านั้นเสพแล้วอยู่ไม่ได้ รุรนทุราย ต้องพูดถึงวัตถุหรือสิ่งเสพเหล่านั้นว่า "ต้องมีจึงจะอยู่ได้ ไม่มีอยู่ไม่ได้" คนที่เป็นอย่างนี้จะแย่ ชีวิตนี้สูญเสียอิสรภาพ คนยิ่งอายุมากขึ้นสถานการณ์ก็ไม่แน่นอน ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายเสพความสุขจากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ เช่น ลิ้นไม่รับรู้รส กินอาหารก็ไม่อร่อย ถ้าไม่ฝึกไว้ ความสุขของตัว ไปอยู่ที่วัตถุเหล่านั้นเสียหมดแล้ว และตัวก็เสพมันไม่ได้ จิตใจก็ไม่มีความสามารถที่จะมีความสุขด้วยตนเอง ก็จะลำบากมาก ทุกข์มาก เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ฝึกไว้ รักษาศีล ๘ นี้แปดวันครั้งหนึ่ง จะได้ไม่สูญเสียอิสรภาพนี้ไป
เพราะฉะนั้นเอาคำว่า "มีก็ดี ไม่มีก็ได้" นี้ไว้ ถามตัวเอง เป็นการตรวจสอบอยู่เสมอว่า เราถึงขั้นนี้หรือยัง หรือต้องมีจึงจะอยู่ได้ ถ้ายังพูดได้ว่า มีก็ดีไม่มีก็ได้ ก็เบาใจได้ว่า เรายังมีอิสรภาพอยู่ ต่อไปถ้าเราฝึกเก่งขึ้นไปอีก อาจจะมาถึงขั้นที่พูดได้ในบางเรื่องว่า "มีก็ได้ ไม่มีก็ดี" ถ้าได้อย่างนี้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
คนที่พูดได้อย่างนี้ จะมีความรู้สึกว่าของพวกนี้เกะกะ เราอยู่ของเราง่าย ๆ ดีแล้ว มีก็ได้ไม่มีก็ดี ไม่มีเราก็สบาย ชีวิตเป็นอิสระโปร่งเบาความสุขเริ่มไม่ขึ้นต่อวัตถุอามิสสิ่งเสพภายนอก ความสุขเริ่มไม่ต้องหา
-ความสุขที่ต้องหา แสดงว่าเราขาด คือยังไม่มีความสุขนั้นเราหาได้ที เสพทีก็มีสุขที แต่ระหว่างนั้นต้องอยู่ด้วยการอ อยู่ด้วยความหวัง บางทีก็ถึงกับทุรนทุราย กระวนกระวาย เพราะฉะนั้น จะต้องทำตัวให้มีความสุขด้วยตนเองสำรองไว้ให้ได้ ด้วยวิธีฝึกรักษาอิสรภาพของชีวิต และรักษาความสามารถที่จะมีความสุขไว้

ขั้นที่ ๒ ความสุขจากการให้
พอเจริญคุณธรรม เช่น มีเมตตากรุณา มีศรัทธา เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่ง แต่ก่อนนี้ชีวิตเคยต้องได้วัตถุมาเสพต้องได้ ต้องเอา เมื่อได้จึงจะมีความสุข ถ้าคือเสียก็ไม่มีความสุข แต่คราวนี้ คุณธรรมทำให้ใจเราเปลี่ยนไป เหมือนพ่อแม่ที่มีความสุขเมื่อให้แก่ลูก เพราะรักลูก ความรักคือเมตตา ทำให้อยากให้ลูกมีความสุขพอให้แก่ลูกแล้วเห็นลูกมีความสุข ตัวเองก็มีความสุข เมื่อพัฒนาเมตตากรุณาขยายออกไปถึงใคร ให้แก่คนนั้น ก็ทำให้ตัวเองมีความสุขศรัทธาในพระศาสนาในการทำความดี และในการบำเพ็ญประโยชน์เป็นต้น ก็เช่นเดียวกัน เมื่อให้ด้วยศรัทธา ก็มีความสุขจากการให้นั้น ดังนั้นคุณธรรมที่พัฒนาขึ้นมาในใจ เช่น เมตตากรุณา ศรัทธา จึงทำให้เรามีความสุขจากการให้ การให้กลายเป็นความสุข

ขั้นที่ ๓ ความสุขเกิดจากการดำเนินชีวิตถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมติ ที่ผ่านมานั้นเราอยู่ในโลกของสมมติมาก และบางทีเราก็หลงไปกับความสุขในโลกของสมมตินั้น แล้วก็ถูกสมมติ ล่อหลอกเอา อยู่ด้วยความหวังสุขจากสมมติที่ไม่จริงจังยั่งยืน และพาให้ตัวแปลกแยกจากความจริงของธรรมชาติ และขาดความสุขที่พึงได้จากความเป็นจริงในธรรมชาติเหมือนคนทำสวนที่มัวหวัง ความสุขจากเงินเดือน เลยมองข้ามผลที่แท้จริงตามธรรมชาติจากการทำงานของตัว คือความเจริญงอกงามของต้นไม้ ทำให้ทำงานด้วยความฝืนใจเป็นทุกข์ ความสุขอยู่ที่การได้เงินเดือนอย่างเดียว ได้แต่รอความสุขที่อยู่ข้างหน้า แต่พอใจมาอยู่กับความเป็นจริงของธรรมชาติ อยากเห็นผลที่แท้จริงตามธรรมชาติของการทำงาน ของตน คือ อยากเห็นต้นไม้เจริญงอกงาม หายหลงสมมติ ก็มีความสุขในทำสวน และได้ความสุข จากการชื่นชมความเจริญงอกงามของต้นไม้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น คนที่ปรับชีวิตได้ เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ จึงสามารถหาความสุขจากการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ ได้เสมอ
พอปัญญามาบรรจบให้วางใจถูก ชีวิตและความสุขก็ถึงความสมบูรณ์

ขั้นที่ ๔ ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง คนเรานี้มีความสามารถในการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของมนุษย์ ปรุงแต่งทุกข์ก็ได้ ปรุงแต่งสุขก็ได้ โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก็คือปรุงแต่งความคิดมาสร้างสิ่งประดิษฐ์ จนมีเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย
ที่สำคัญก็คือในใจของเราเอง เรามักจะใช้ความสามารถในทางที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง แทนที่จะปรุงแต่งความสุข เรามักจะปรุงแต่งทุกข์ คือเก็บเอาอารมณ์ที่ไม่ดี ที่ขัดใจ ขัดหู ขัดตา เอามาครุ่นคิดให้ไม่สบายใจ ขุ่นมัว เศร้าหมอง โดยเฉพาะคนที่สูงอายุนี่ ต้องระวังมาก ใจคอยจะเก็บอารมณ์ที่กระทบกระเทือน ไม่สบาย แล้วก็มาปรุงแต่ง ให้เกิดความกลุ้มใจ ว้าเหว่ เหงา เรียกใช้ความสามารถไม่เป็น
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักใช้ความสามารถในการปรุงแต่งแทนที่จะปรุง ทุกข์ ก็ปรุงสุข เก็บเอาแต่อารมณ์ที่ดีมาปรุงแต่งใจให้สบาย แม้แต่หายใจ ที่ยังให้ปรุงแต่งความสุขไปด้วย ลองฝึกดูก็ได้เวลาหายใจเข้า ก็ทำใจให้เบิกบาน เวลาหายใจออก ก็ทำใจให้โปร่งเบาทานสอนไว้ว่าสภาพจิต 5 อย่างอย่างนี้ ควรปรุงแต่งให้มีในใจอยู่เสมอ คือ
๑. ปราโมทย์ ความร่าเริงเบิกปานใจ
๒. ปีติ ความอิ่มใจ
๓. ปัสสัทธิ ความสงบเย็น ผ่อนคลายกายใจ ไม่เครียด
๔. ความสุข ความโปร่งโล่งใจ คล่องใจ สะดวกใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้น หรือติดขัดคับข้อง และ
๕. สมาธิ ภาวะที่จิตอยู่กับสิ่งที่ต้องการ ได้ตามาต้องการ ไม่มีอะไรมารบกวน จิตอยู่ตัวของมัน
ขอย้ำว่า ๕ ตัวนี่สร้างไว้ประจำใจให้ได้ เป็นสภาพจิตที่ดีมาก ผู้เจริญในธรรมจะมีคุณสมบัติของจิตใจ ๕ ประการนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ตโต ปาโมชฺชพหุโล ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ" แปลว่า ภิกษุปฏิบัติถูกต้องแล้ว มากด้วยปราโมทย์ มีจิตใจร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ จักทำทุกข์ให้หมดสิ้นไป ท่านพูดไว้ถึงอย่างนี้
ฉะนั้น ท่านผู้เกษียณอายุนั้น ถึงเวลาแล้ว ควรจะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ถือเป็นโอกาสดี มาปรุงแต่งใจ แต่ก่อนนี้ปรุงแต่งแต่ทุกข์ทำให้ใจเครียด ขุ่นมัว เศร้าหมอง ตอนนี้ปรุงแต่งใจให้มีธรรม 5 อย่างนี้ คือ ปราโมทย์ มีความร่าเริงเบิกบานใจ ปีติ ความอิ่มใจ ปัสสัทธิ ความผ่อนคลาย สงบเย็นกายใจ สุข โล่งโปร่งใจ สมาธิ สงบใจตั้งมั่น ไม่มีอะไรมารบกวน อยู่ตัว สบายเลย ทำใจให้ได้อย่างนี้อยู่เสมอ ท่องไว้เลย 5 ตัวนี้ คือ ปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว ทำไมเราไม่เอามาใช้ นี่แหละความสามารถในการปรุงแต่งจิต เอามาใช้ สบายแน่ และก็เจริญงอกงามในธรรมด้วย
โดยเฉพาะ ท่านผู้สูงอายุนั้นก็เป็นธรรมดาว่าจะต้องมีเวลาพักและเวลาว่างที่ว่างจาก กิจกรรม มากกว่าคนหนุ่มสาวและคนวัยทำงานที่เขายังมีกำลังร่างกายแข็งแรงดี ว่างจากงานเขาก็ไปเล่นไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้มาก แต่ท่านที่สูงอายุ นอกจากออกกำลังบริหารร่างกายบ้างแล้ว ก็ต้องการเวลาพักผ่อนมากหน่อย จึงมีเวลาว่าง ซึ่งไม่ควรปล่อยให้กายว่างแต่ใจวุ่น
เพราะฉะนั้น ในเวลาที่ว่าง ไม่มีอะไรทำ และก็ยังไม่พักผ่อนนอนหลับ หรือนอนแล้วก่อนจะหลับ ก็พักผ่อนจิตใจให้สบาย ขอเสนอวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ไว้อย่างหนึ่งว่า ในเวลาที่ว่างอย่างนั้น ให้สูดลมหายใจเข้าและหายใจออกอย่างสบาย ๆ สม่ำเสมอ ให้ใจอยู่กับลมหายใจที่เข้าและออกนั้น พร้อมกันนั้นก็พูดในใจไปด้วย ตามจังหวะลมหายใจเข้าและออกว่า
จิตใจเบิกบานหายใจเข้า จิตใจโล่งเบาหายใจออก
ในเวลาที่พูดในใจอย่างไร ก็ทำใจให้เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสำนวนใหม่ก็ได้ว่า
หายใจเข้า สูดเอาความสดชื่น หายใจออก ฟอกใจให้สดใส
ถูกกับตัวแบบไหน ก็เลือกเอาแบบนั้น หายใจพร้อมกับทำใจไปด้วยอย่างนี้ตามแต่จะมีเวลาหรือพอใจ ก็จะได้การพักผ่อนที่เสริมพลังทั้งร่างกายและจิตใจ ชีวิตจะมีความหมาย มีคุณค่า และมีความสุขอยู่เรื่อยไป

ขั้นที่ ๕ สุดท้าย ความสุขเหนือการปรุงแต่ง คราว นี้ไม่ต้องปรุงแต่ง คืออยู่ด้วยปัญญา ที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาเห็นแจ้ง ทำให้วางจิตวางใจลงตัวสนิทสบาย กับทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่อย่างผู้เจนจบชีวิต
สภาพจิตนี้จะเปรียบเทียบได้เหมือนสารถีที่เจนจบการขับรถสารถีผู้ชำนาญใน การขับรถนั้น จะขับม้าให้นำรถเข้าถนน และวิ่งด้วยความเร็วพอดี ตอนแรกต้องใช้ความพยายาม ใช้แซ่ ดึงบังเหียนอยู่พักหนึ่ง แต่พอรถม้านั้นวิ่งเข้าที่เข้าทางดี ความเร็วพอดี อยู่ตัวแล้ว สารถีผู้เจนจบ ผู้ชำนาญแล้วนั้น จะนั่งสงบสบายเลย แต่ตลอดเวลานั้นเขามีตลอดเวลานั้นเขาไม่มีความประหวั่น ไม่มีความหวาด จิตเรียบสนิท ไม่เหมือนคนที่ยังไม่ชำนาญ จะขับรถนี่ ใจคอไม่ดี หวาดหวั่น ใจคอยกังวลโน่นนี่ ไม่ลงตัว แต่พอรู้เข้าใจความจริงเจนจบดี ด้วยความรู้นี่แหละ จะปรับความรู้สึกให้ลงตัว เป็นสภาพจิตที่เรียบสงบสบายที่สุด
คนที่อยู่ในโลกด้วยความรู้เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง จิตเจนจบกับโลกและชีวิต วางจิตลงตัวพอดี ทุกอย่างเข้าที่อยู่ตัวสนิทอย่างนี้ ท่านเรียกว่าเป็นจิตอุเบกขา เป็นจิตที่สบาย ไม่มีอะไรกวนเลยเรียบสนิท เป็นตัวของตัวเอง ลงตัว เมื่อทุกสิ่งเข้าที่ของมันแล้ว คนที่จิตลงตัวเช่นนี้ จะมีความสุขอยู่ประจำตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นสุขเต็มอิ่มอยู่ข้างใน ไม่ต้องหาจากข้างนอก และเป็นผู้มีชีวิตที่พร้อมที่จะทำเพื่อผู้อื่นได้เต็มที่ เพราะไม่ต้องห่วงกังวลถึงความสุขของตนและไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเอง อีกต่อไป จะมองโลกด้วยปัญญาที่รู้ความจริง และด้วยใจที่กว้างขวางและรู้สึกเกื้อกูล
คนที่พัฒนาความสุขมาถึงขึ้นสุดท้ายแล้วนี้ เป็นผู้พร้อมที่จะเสวยความสุขทุกอย่างใน ๔ ข้อแรก ไม่เหมือนคนที่ไม่พัฒนา ได้แต่หาความสุขประเภทแรกอย่างเดียว เมื่อหาไม่ได้ก็มีแต่ความทุกข์เต็มที่และในเวลาที่เสพความสุขนั้น จิตใจก็ไม่โปร่งไม่โล่ง มีความหวั่นใจหวาดระแวงขุ่นมัว มีอะไรรบกวนอยู่ในใจ สุขไม่เต็มที่ แต่พอพัฒนาความสุขขึ้นมา ยิ่งพัฒนาถึงขั้นสูงขึ้น ก็มีโอกาสได้รับความสุขเพิ่มขึ้นหลายทาง กลายเป็นว่า ความสุขมีให้เลือกได้มากมาย และจิตใจที่พัฒนาดีแล้ว ช่วยให้เสวยความสุขทุกอย่างได้เต็มที่ โดยที่ในขณะนั้น ๆ ไม่มีอะไรรบกวนให้ขุ่นข้องหมองมัว
เป็นอันว่าธรรมะ ช่วยให้เรารู้จักความสุขในการดำเนินชีวิตมากยิ่ง ๆขึ้นไป สู่ความเป็นผู้เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ จนกระทั่งความสุขเป็นคุณสมบัติของชีวิตอยู่ภายในตัวเองตลอดทุกเวลา ไม่ต้องหาไม่ต้องรออีกต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
คู่มือชีวิต พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต); พิมพ์ครั้งที่ 3 กรกฎาคม 2547, ศรีชัยการพิมพ์ กรุงเทพฯ, หน้า 141-150. ที่มา : กรมสุขภาพจิต